เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 

ข่าว:

โพสต์ขายของฟรี  ลงโฆษณาสินค้าฟรี  โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี  เว็บฟรีไม่จำกัด  ทำ SEO ติด Google
































































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 32
1
หมอประจำบ้าน: ไอทีพี/เกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านตัวเอง (Immune thrombocytopenia /ITP)

ไอทีพี/เกล็ดเลือดต่ำจากภูมิต้านตัวเอง หมายถึง ภาวะเกล็ดเลือดต่ำที่เป็นผลมาจากร่างกายมีปฏิกิริยาภูมิต้านเกล็ดเลือดของตัวเอง ทำให้มีเลือดออกง่าย มีอาการสำคัญคือเกิดจุดแดง จ้ำเขียว ตามผิวหนัง

โรคนี้เดิมมีชื่อว่า "Idiopathic thrombocytopenic purpura/ITP" ปัจจุบันเรียกว่า "Immune thrombocytopenia/ITP" ("Immune thrombocytopenic purpura", "Autoimmune thrombocytopenic purpura", "Autoimmune thrombocytopenia" ก็เรียก)

โรคนี้พบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ ในเด็กพบบ่อยในช่วงอายุ 2-6 ปี ซึ่งมักเกิดตามหลังการติดเชื้อไวรัส และหายได้เองเป็นส่วนใหญ่

ส่วนในผู้ใหญ่อาจเกิดหลังติดเชื้อแบคทีเรียบางชนิดและอาจมีอาการนานเกิน 6 เดือน ซึ่งเรียกว่า "ไอทีพีชนิดเรื้อรัง"


สาเหตุ

ผู้ป่วยจะมีการสร้างเกล็ดเลือดที่ไขกระดูกได้ตามปกติ แต่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำเนื่องเพราะร่างกายมีปฎิกิริยาภูมิต้านตัวเองหรือออโตอิมมูน (autoimmune) กล่าวคือ ร่างกายมีการสร้างสารภูมิต้านทานต่อเกล็ดเลือด (platelet antibody) ขึ้นมาทำลายเกล็ดเลือดของตัวเอง ทำให้จำนวนเกล็ดเลือด (ซึ่งทำหน้าที่จับเป็นลิ่มเพื่อการห้ามเลือด) ลดน้อยลง ทำให้มีเลือดออกง่ายและหยุดยาก

ส่วนสาเหตุของการเกิดปฏิกิริยาดังกล่าวยังไม่ทราบชัดเจน ซึ่งเชื่อว่าอาจเกิดจากการติดเชื้อ หรือ การใช้ยาบางชนิด (เช่น ยาปฏิชีวนะ หรือ ยาต้านไวรัส)

พบว่าในเด็ก มักเกิดอาการหลังติดเชื้อไวรัส (เช่น อีสุกอีใส คางทูม ไข้หวัดใหญ่) ส่วนในผู้ใหญ่ อาจถูกกระตุ้นให้เกิดอาการกำเริบด้วยการติดเชื้อแบคทีเรีย (เช่น เอชไอวี ตับอักเสบจากไวรัสซี การติดเชื้อเอชไพโลไรซึ่งทำให้เกิดแผลกระเพาะอาหาร/แผลลำไส้เล็กส่วนต้น)

นอกจากนี้ ผู้ที่เป็นโรคออโตอิมมูน เช่น ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เอสแอลอี มีโอกาสพบโรคนี้มากกว่าคนปกติทั่วไป


อาการ

ผู้ป่วยจะมีเลือดออกง่ายที่ใต้ผิวหนัง ซึ่งมักเกิดขึ้นเองโดยไม่ได้รับบาดเจ็บ (เช่น การชนหรือกระแทก) เห็นเป็นรอยฟกช้ำดำเขียวขนาดใหญ่ หรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง

อาจอยู่ ๆ เกิดจุดแดงหรือจ้ำเขียว (รอยเลือดออกขนาดเล็ก) ขึ้นตามตัว ซึ่งมักพบบ่อยที่หน้าแข้งและเท้า

บางรายอาจมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ  เช่น มีเลือดกำเดาไหล เลือดออกตามไรฟัน ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด ประจำเดือนออกมากอย่างผิดปกติ เป็นต้น

ถ้ามีบาดแผลเลือดออกที่เกิดจากการบาดเจ็บ การผ่าตัด หรือ ถอนฟัน มักมีเลือดออกมากและหยุดยาก

โดยทั่วไปผู้ป่วยจะไม่มีอาการซีด ยกเว้นถ้ามีเลือดออกมากและนาน

ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ตับม้ามและต่อมน้ำเหลืองไม่โต


ภาวะแทรกซ้อน

ในรายที่มีเลือดออกมากหรือเรื้อรัง อาจเกิดอาการซีด อ่อนเพลีย

สำหรับผู้หญิง ขณะคลอดบุตรอาจมีการตกเลือดหลังคลอดอย่างรุนแรงได้ (แพทย์จะให้ยารักษาขณะฝากครรภ์ เพื่อป้องกันการตกเลือดหลังคลอด)

ที่พบได้น้อย แต่มีอันตรายร้ายแรง คือ มีเลือดออกในสมอง (มีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก คอแข็งหรือก้มคอไม่ลง ไม่ค่อยรู้สึกตัว ชัก) ซึ่งทำให้เสียชีวิตได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยเบื้องต้นจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกาย

สิ่งตรวจพบที่สำคัญ ได้แก่ พบจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว รอยฟกช้ำดำเขียวหรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง

แพทย์จะทำการวินิจฉัยให้แน่ชัดโดยการตรวจเลือด ซึ่งจะพบว่ามีจำนวนเกล็ดเลือดต่ำกว่าปกติ

ในรายที่สงสัยว่าอาจมีการติดเชื้อเอชไอวี ตับอักเสบจากไวรัสซี หรือการติดเชื้อเอชไพโลไร แพทย์ก็จะทำการหาเชื้อพวกนี้

กรณีที่มีความจำเป็นต้องตรวจเพื่อแยกจากสาเหตุอื่น แพทย์อาจทำการตรวจไขกระดูก (ซึ่งจะพบว่าปกติสำหรับโรคนี้)


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษาดังนี้

ในรายที่มีอาการเล็กน้อย แพทย์จะทำการติดตามสังเกตดูอาการและตรวจเลือดดูปริมาณเกล็ดเลือด โดยไม่ต้องให้ยารักษา ซึ่งส่วนใหญ่มักหายได้เอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็ก

ในรายที่มีเลือดออกมาก จะให้เลือดหรือเกล็ดเลือด       

ในรายที่มีอาการรุนแรงหรือเรื้อรัง ซึ่งมักพบในผู้ใหญ่ แพทย์จะรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ (เช่น เพร็ดนิโซโลน) แล้วตรวจเลือดสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง ถ้าไม่ได้ผล อาจเพิ่มขนาดของยาให้ได้ผล ถ้าได้ผลจะค่อย ๆ ลดขนาดของยาลง จนกระทั่งหยุดยา เมื่อลดยาหรือหยุดยาแล้วกลับมีอาการใหม่ ก็เริ่มให้ยานี้ใหม่อีก ผู้ป่วยส่วนมากจะหายได้ภายใน 2-3 เดือน แต่บางรายอาจเป็นนานเกิน 6 เดือนขึ้นไป

ผู้ป่วยบางรายที่รักษาไม่ได้ผล อาจต้องพิจารณาให้อิมมูโนโกลบูลินฉีดเข้าหลอดเลือดดำ (intravenous immunoglobulin/IVIG) หรือการตัดม้าม เพื่อลดการทำลายเกล็ดเลือด

หากรักษาด้วยวิธีดังกล่าวข้างต้นไม่ได้ผล อาจต้องรักษาด้วยการให้ยากระตุ้นการสร้างเกล็ดเลือด (เช่น romiplostim, eltrombopag) หรือ ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น วินคริสทีน (vincristine), ไซโคลฟอสฟาไมด์ (cyclophosphamide), อะซาไทโอพรีน (azathioprine), ไรทูซิแมบ (rituximab) เป็นต้น

ผลการรักษา ในเด็กมักมีอาการไม่รุนแรงและมักหายได้เองภายใน 2-3 สัปดาห์ บางรายอาจเป็น 2-3 เดือน (นานสุดไม่เกิน 6 เดือน) และไม่มีการกำเริบใหม่ ส่วนน้อยที่อาจต้องให้การรักษาแบบเดียวกับที่ใช้ในผู้ใหญ่

ส่วนในผู้ใหญ่ มักจะหายช้ากว่าเด็ก อาจมีอาการนานเป็นเดือนเป็นปี

ถ้ามีอาการนานเกิน 6 เดือน (เป็น "ไอทีพีชนิดเรื้อรัง") อาจจำเป็นต้องให้การรักษาด้วยยา/วิธีการที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น (เช่น การผ่าตัดม้าม) ซึ่งอาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ ตามมามากขึ้นได้ (เช่น หลังผ่าตัดม้าม มีโอกาสเป็นโรคติดเชื้อง่ายขึ้น) วิธีรักษาเหล่านี้อาจช่วยให้หายขาดได้ แต่บางรายก็อาจเรื้อรังเป็นปี ๆ


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีจุดแดง จ้ำเขียวตามร่างกาย หรือมีรอยฟกช้ำ หรือก้อนเลือดขังที่ใต้ผิวหนัง หรือมีเลือดออกตามที่ต่าง ๆ เช่น มีเลือดกำเดาออก เลือดออกตามไรฟัน ประจำเดือนออกมาก ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว

เมื่อตรวจพบว่าเป็นไอทีพี ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด
    หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้ได้รับบาดเจ็บ มีเลือดออก
    หลีกเลี่ยงการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
    หลีกเลี่ยงการซื้อยากินเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาแก้ปวด (เช่น แอสไพริน) และยาแก้ข้ออักเสบ (เช่น ไอบูโพรเฟน) กินเอง เพราะอาจเสริมให้เลือดออกมากขึ้น


ควรกลับไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ซึมมาก หรือ ชัก หรือสงสัยมีเลือดออกในสมอง
    มีเลือดออก ทำการห้ามเลือดเบื้องต้นแล้วเลือดไม่หยุดไหล
    มีไข้สูง อ่อนเพลียมาก หรือ ซีด
    มีประจำเดือนออกมากอย่างผิดปกติ ถ่ายอุจจาระหรือปัสสาวะเป็นเลือด
    ประสบอุบัติเหตุ หรือได้รับบาดเจ็บ
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน ถ้ากินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีไข้สูง ลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเดิน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ)

การป้องกัน

ยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลดี แต่ก็อาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคสำหรับภาวะที่มีความสัมพันธ์กับโรคไอทีพี อาทิ

    ฉีดวัคซีนป้องกันโรคติดเชื้อไวรัสสำหรับเด็ก เช่น วัคซีนป้องกันโรคคางทูม หัด หัดเยอรมัน อีสุกอีใส
    หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์จัด เนื่องจากแอลกอฮอล์มีฤทธิ์ชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสสารเคมี (เช่น ยาฆ่าแมลง สารหนู เบนซีน) ซึ่งฤทธิ์ชะลอการสร้างเกล็ดเลือด
    หลีกเลี่ยงการใช้ยาแอสไพริน และไอบูโพรเฟน ซึ่งมีฤทธิ์ยับยั้งการจับตัวของเกล็ดเลือด (ทำให้เลือดออกง่าย)

ข้อแนะนำ

1. โรคนี้ส่วนมากไม่มีอันตรายร้ายแรง และมีทางรักษาให้หายขาดได้ โดยเฉพาะอย่างในเด็กมักจะหายได้เองโดยไม่ต้องใช้ยา

ส่วนในผู้ใหญ่ มักหายช้ากว่าเด็ก บางรายอาจเป็นเรื้อรัง นานกว่า 6 เดือน อาจนานเป็นปีๆหรือนับสิบ ๆ ปี ซึ่งสามารถรักษาให้หายหรือมีชีวิตยืนยาวและมีคุณภาพเท่าคนปกติทั่วไปได้

2. ภาวะแทรกซ้อนที่พบได้น้อยมากแต่มีอันตรายถึงอาจทำให้เสียชีวิตได้ ก็คือ ภาวะเลือดออกในสมอง ผู้ที่เป็นโรคนี้ควรเฝ้าสังเกตอาการของตัวเองให้ดี หากมีอาการปวดศีรษะมาก อาเจียนมาก ควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพื่อให้สามารถได้รับการตรวจรักษาภาวะร้ายแรงแต่เนิ่น ๆ และปลอดภัย

2
จัดฟันบางนา: ข้อแตกต่าง ของการจัดฟันแบบทั่วไป กับการ จัดฟันแบบใส !

การจัดฟันแบบทั่วไป เรามักเห็นได้บ่อย เพราะเป็นที่นิยมมากตั้งแต่ในวัยรุ่นจนไปถึงวัยทำงาน ซึ่งการจัดฟันแบบใส่เหล็กทั่วไป มีค่าใช้จ่ายที่ไม่แพงมาก สามารถแบ่งจ่ายได้เป็นรายเดือน และต้องเข้าพบทันตแพทย์เป็นประจำทุกเดือน อย่างต่อเนื่อง เพื่อติดตามความเปลี่ยนแปลงของฟัน รวมไปถึงต้องมีการติดเครื่องมือใหม่ๆเพิ่มไปในช่องปากด้วย

การจัดฟันแบบทั่วไป ที่ใส่เหล็กจัดฟัน จะมีความเจ็บปวดแทบจะทุกเดือนหรือทุกครั้งที่เข้าพบทันตแพทย์ ทันตแพทย์จะทำการใส่เครื่องมือหรือในบางกรณีอาจจะมีการดึงฟันด้วย ทำให้รู้สึกเจ็บปวด แต่การจัดฟันแบบนี้ ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพมาก เพราะเห็นความเปลี่ยนแปลงของฟันได้อย่างชัดเจน ทั้งยังเกิดข้อผิดพลาดน้อยด้วย

นอกจากนี้ยังมีการจัดฟันอีกรูปแบบหนึ่ง ที่มีความสะดวกสบายและเป็นที่นิยมมากในปัจจุบัน นั่นก็คือการ จัดฟันแบบใส invisalign เป็นการจัดฟันแบบใส ที่สามารถถอดเครื่องมือการจัดฟันออกได้ และถูกออกแบบมาเฉพาะด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ โดยแสดงผลออกมาแบบ 3D โดยการจัดฟัน invisalign จะทำให้ฟันของผู้เข้ารับการรักษาเรียงตัวสวยอย่างเป็นธรรมชาติ แทบจะมองไม่ออกเลยว่า กำลังจัดฟันอยู่ การจัดฟันแบบใส แม้จะเป็นการจัดฟันที่ได้ผลชัดเจนและใช้เวลาในการจัดฟันไม่นานเท่ากับการจัดฟันแบบทั่วไป แต่ก้มีข้อจำกัดหลายอย่าง อย่างแรกคือ ผู้เข้ารับการรักษาจะต้องมีวินัยในการสวมใส่เครื่องมือ ซึ่งถือว่า เป็นเรื่องที่สำคัญมากและต้องคำนึงถึงให้มากที่สุด

สำหรับความแตกต่างในการจัดฟันแบบทั่วไปและการจัดฟันแบบใส invisalign อย่างแรกเลยคือ เครื่องมือจัดฟันที่มีความแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เพระาการจัดฟันแบบใส invisalign มีเครื่องมือที่เป็นเอกลักษณ์ ที่ต่างจากการจัดฟันในรูปแบบอื่น นั่นก็คือ เครื่องมือมีความบางและใส ซึ่งเวลาใสจะสังเกตได้ยาก

ต่อมาคือ การจัดฟันแบบใส สามารถถอดเครื่องมือออกได้ สามารถทำความสะอาดช่องปากได้อย่างเต็มที่ ในขณะที่การจัดฟันแบบทั่วไป ไม่สามารถถอดเครื่องมือออกได้ และยังทำความสะอาดช่องปากได้ไม่สะดวกเท่าที่ควร รวมไปถึงการรับประทานที่ผู้จัดฟันแบบทั่วไป ไม่สามารถรับประทานอาหารได้อย่างหลากหลายและสุดท้ายคือระยะเวลาในการจัดฟัน ซึ่งการจัดฟันแบบใส เป็นการประหยัดเวลามากกว่า และการจัดฟันแบบทั่วไป ใช้ระยะเวลานานถึง 2-3 ปี ขึ้นอยู่กับสภาพฟันของแต่ละบุคคล

3
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)
ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”
‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


4
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”

สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


5
ปล่อยรถป้ายแดง Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ปี 2023 ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ปี 2023
Mercedes-Benz GLA 200 AMG Dynamic ปี 2023 เป็น Compact SUV ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ที่โฉบเฉี่ยวสไตล์คูเป้ผสมผสานกับความแข็งแกร่งของ SUV พร้อมด้วยชุดแต่ง AMG Dynamic ที่เสริมความสปอร์ตและความหรูหรา ถือเป็นรุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดรถยนต์พรีเมียมของประเทศไทย

หมายเหตุ : รายละเอียดของรถยนตอ์าจมีการเปลี่ยนแปลงภายหลัง

รถผู้บริหาร รถทดลองขับ ไมล์น้อย ราคาและโปรโมชั่นพิเศษ

โปรโมชั่นพิเศษ
ตั้งแต่ 6 มิ.ย. - 30 มิ.ย. 2568
Warranty ถึงปี 2026

ราคาพิเศษ 4,390,000 บาท

สนใจสอบถา มรายละเอียดกดลิ้ง https://www.checkraka.com/flashdeal/car

สมรรถนะเครื่องยนต์:

เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบแถวเรียง ขนาด 1.3 ลิตร (1,332 ซีซี)
เทอร์โบชาร์จเจอร์ (Turbocharger) และอินเตอร์คูลเลอร์
กำลังสูงสุด: 163 แรงม้า (PS) ที่ 5,500 รอบ/นาที
แรงบิดสูงสุด: 250 นิวตันเมตร ที่ 1,620 – 4,000 รอบ/นาที
จับคู่กับเกียร์อัตโนมัติ 8G-DCT (คลัตช์คู่ 8 จังหวะ)
ระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหน้า
อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม.: ประมาณ 8.7 วินาที
อัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงเฉลี่ย: ประมาณ 16.1 กม./ลิตร (ตาม ECO Sticker)


6
บริหารจัดการอาคาร: เคล็ดลับการกำจัดกลิ่นอับชื้นที่เกิดจากแอร์ที่เราใช้งาน

เครื่องปรับอากาศ ปัจจุบันนั้นมีมากมายและหลากหลายชนิด จนบางครั้งอาจจะเลือกไม่หมด และที่สำคัญควรเลือกเครื่องปรับอากาศอย่างไรให้เข้ากับบ้านหรือห้องภายในที่อยู่อาศัยที่เราต้องการด้วย ซึ่งเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดหนึ่ง ที่ใช้อำนวยความสะดวกในการปรับอุณหภูมิให้ห้องที่ต้องการให้เย็นลง แน่นอนว่า ประเทศของเรามีอากาสที่ร้อนมาก จึงไม่แปลกใจที่เครื่องปรับอากาศมีความจำเป้นในการดำเนินชีวิตของใครหลายคน

แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายที่ต้องสูงมากขึ้น แต่หากเราติดเครื่องปรับอากาศเพื่ออำนวยความสะดวกก็ต้องมั่นใจว่า เครื่องปรับอากาศของเรานั้น จะมีอายุการใช้งานที่นานและมีการใช้งานที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหลายบ้านต้องติดตั้งเครื่องปรับอากาศภายในบ้านเครื่องใหม่และอาจจะสงสัยว่า ช่วงที่ช่างที่มาติดตั้งเครื่องปรับอากาศที่บ้านของเรานั้น ทำงานเรียบร้อยหรือไม่หรือติดตั้งเครื่องปรับอากาศในตำแหน่งที่ถูกต้องหรือเปล่า

เพราะปัจจัยที่กล่าวมานั้น ส่งผลต่อการทำงานของเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของเรา เพราะถ้าหากเราจะต้องเสียงเงินเพื่อติดตั้งเครื่องปรับอากาศใหม่แล้วก็ต้องมั่นใจว่าเครื่องปรับอากาศที่เราติดตั้งไปแล้ว จะไม่เกิดปัญหาในภายหลัง นอกจากนี้ การใช้งานเครื่องปรับอากาศ เมื่อใช้งานไปนานๆอาจจะส่งกลิ่นอับชื้น หรือถ้าหากเปิดในช่วงหน้าฝน ก็จะยิ่งเกิดกลิ่นอับชื้นได้ง่าย ซึ่งวันนี้ทางเราจะมาแนะนำเคล็ดลับการกำจัดกลิ่นอับชื้นที่เกิดจากแอร์ที่เราใช้งาน เพื่อเป็นแนวทางให้กับคนที่ประสบปัญหาได้แก้ไขได้อย่างถูกต้อง

 การเปิดเครื่องปรับอากาศ ในเรื่องของควมาชื้นหรือกลิ่นอับ ก็เป็นอีกหนึ่งปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งอันที่จริงก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ความซับซ้อนระหว่างปฏิกิริยาของความอบอ้าว ความเย็น ความชื้น อาจจะทำให้เกิดปัญหาขึ้นกับห้องที่ปรับอากาศได้เหมือนกัน ซึ่งนั่นก็คือ ปัญหาความชื้นสะสมในห้องหลังปิดเครื่องปรับอากาศ เนื่องจากถ้าหากเราเปิดเครื่องปรับอากาศ แล้วเราปิดเครื่องปรับอากาศในช่วงที่อากาศยังมีความชื้นอยู่ภายในอากาศมาก แล้วเราเปิดประตูหน้าต่างให้อากาศภายนอกเข้ามาภายในห้องได้ทันที ห้องจะเกิดอาการชื้นขึ้นทันทีเช่นกัน

 ดังนั้น เราควรใช้งานเครื่องปรับอากาศให้ถูกต้อง ซึ่งปัญหาความชื้นหรือกลิ่นอับ เป็นปัญหาที่เราหลีกเลี่ยงได้ สำหรับเคล็ดลับการแก้กลิ่นอับชื้นในเครื่องปรับอากาศของเรานั้น สามารถทำได้ด้วยการตรวจเช็คแผ่นกรองฝุ่นในเครื่องปรับอากาศเป็นประจำทุกเดือน โดยการแกะแผ่นกรองอากาศออกมาเพื่อทำความสะอาด และนำไปตากแดดหรือผึ่งให้แห้ง
จากนั้นทำการเปิดปุ่ม Fanmode หรือ Drymode ทิ้งไว้ประมาณ 1-2 ชั่วโมง เพื่อให้พัดลมได้ปัดเป่าความชื้นออกไปให้หมด หรือถ้าหากไม่มีการเปิดใช้เครื่องปรับอากาศ ก็ควรเปิดหน้าต่างหรือประตู เพื่อให้อากาศได้ถ่ายเท ปัญหากลิ่นอับชื้นก็จะลดลงและหายไปในที่สุด พยายามหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ หรือการปรุงอาหารในขณะที่เปิดเครื่องปรับอากาศ
เนื่องจากจะทำให้เกิดการสะสมของเชื้อแบคทีเรียในเครื่องปรับอากาศ และทำให้เครื่องปรับอากาศเกิดการอุดตันและมีกลิ่นเหม็นอับชื้นได้ง่ายนั่นเอง ทั้งนี้ เราสามารถป้องกันไม่ให้แอร์มีกลิ่นเหม็นอับ โดยการหมั่นดูแลและล้างแอร์ให้สะอาดอยู่เสมอก็ถือเป็นการป้องกันไม่ให้แอร์ส่งกลิ่นเหม็นได้ โดยบริเวณแผงขดท่อคอยล์เย็นควรล้างทำความสะอาดเป็นประจำทุกปี ส่วนแผงกรอกฝุ่นก็ควรจะทำความสะอาดทุกเดือน

เพราะเจ้าแผงกรองฝุ่นหรือฟิลเตอร์นี้ เป็นชิ้นส่วนที่มีฝุ่นเกาะอยู่มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับแอร์ที่ติดตั้งไว้ในพื้นที่ที่มีฝุ่นเยอะ ยิ่งควรถอดล้างให้ได้ทุกวัน หรืออย่างน้อย ๆ ก็ทุกสัปดาห์ ส่วนระยะเวลาในการล้างทำความสะอาดชุดคอยล์ร้อน ควรล้างในทุก ๆ  6 เดือน หรือ 1 ปี เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลิ่นและช่วยบำรุงรักษาแอร์ของเราไปในตัวด้วย

 อย่างไรก็ตาม ทางเราอยากให้ทุกคนได้เลือกเครื่องปรับอากาศที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานที่เหมาะสมกับคุณ ทางเรามีบริการดูแลระบบเครื่องปรับอากาศภายในอาคาร ที่มีคนจำนวนมาก เพื่อที่จะได้สามารถใช้งานเครื่องปรับอากาศได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะเราถือว่า ระบบปรับอากาศและหมุนเวียนอากาศเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะผู้คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันมักจะใช้ชีวิตในภายในอาคาร นั่นถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ เพราะถ้าเราได้สูดอากาศที่บริสุทธิ์และสะอาดเข้าไป ก็จะทำให้เรามีสุขภาพที่ดี สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้สดชื่น สบายมากยิ่งขึ้น

7
การทดสอบ ท่อลมร้อน เพื่อตรวจสอบรอยรั่ว

การทดสอบท่อลมร้อนเพื่อตรวจสอบรอยรั่วเป็นกระบวนการสำคัญในการบำรุงรักษาและตรวจสอบความปลอดภัยของระบบท่อลมร้อนในโรงงานอุตสาหกรรม การตรวจสอบรอยรั่วจะช่วยให้มั่นใจได้ว่าระบบทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย โดยมีวิธีการทดสอบดังนี้:

1. การทดสอบแรงดัน (Pressure Test)

หลักการทำงาน:
เป็นการอัดอากาศหรือก๊าซเฉื่อยเข้าไปในท่อลมร้อนภายใต้แรงดันที่กำหนด
หากมีรอยรั่ว แรงดันจะลดลง

ขั้นตอนการทดสอบ:
ปิดปลายท่อลมร้อนทุกด้าน
ต่อเครื่องอัดอากาศหรือเครื่องอัดก๊าซเฉื่อยเข้ากับท่อลมร้อน
อัดอากาศหรือก๊าซเฉื่อยเข้าไปในท่อลมร้อนจนถึงแรงดันที่กำหนด
ปิดวาล์วและสังเกตแรงดัน หากแรงดันลดลง แสดงว่ามีรอยรั่ว
ใช้สเปรย์ฟองสบู่หรือเครื่องตรวจจับรอยรั่วเพื่อหารอยรั่ว
ซ่อมแซมรอยรั่วและทำการทดสอบซ้ำ

ข้อควรระวัง:
ตรวจสอบให้แน่ใจว่าแรงดันที่ใช้ในการทดสอบไม่เกินแรงดันที่ท่อลมร้อนสามารถรับได้
สวมอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคล (PPE) เช่น แว่นตาและถุงมือ

2. การทดสอบด้วยสเปรย์ฟองสบู่ (Bubble Test)

หลักการทำงาน:
เมื่อมีรอยรั่ว อากาศหรือก๊าซจะไหลออกมาและทำให้เกิดฟองสบู่

ขั้นตอนการทดสอบ:
อัดอากาศหรือก๊าซเฉื่อยเข้าไปในท่อลมร้อนภายใต้แรงดันที่กำหนด
ใช้สเปรย์ฟองสบู่ฉีดพ่นบริเวณข้อต่อและจุดเชื่อมต่อของท่อลมร้อน
สังเกตการเกิดฟองสบู่ หากมีฟองสบู่ แสดงว่ามีรอยรั่ว
ซ่อมแซมรอยรั่วและทำการทดสอบซ้ำ

ข้อควรระวัง:
ใช้สเปรย์ฟองสบู่ที่ไม่มีสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อวัสดุของท่อลมร้อน

3. การทดสอบด้วยเครื่องตรวจจับรอยรั่ว (Leak Detector)

หลักการทำงาน:
เครื่องตรวจจับรอยรั่วจะตรวจจับการรั่วไหลของอากาศหรือก๊าซโดยใช้เซ็นเซอร์

ขั้นตอนการทดสอบ:
อัดอากาศหรือก๊าซเฉื่อยเข้าไปในท่อลมร้อนภายใต้แรงดันที่กำหนด
ใช้เครื่องตรวจจับรอยรั่วตรวจสอบบริเวณข้อต่อและจุดเชื่อมต่อของท่อลมร้อน
เมื่อเครื่องตรวจจับรอยรั่วตรวจพบรอยรั่ว จะมีเสียงหรือสัญญาณเตือน
ซ่อมแซมรอยรั่วและทำการทดสอบซ้ำ

ข้อควรระวัง:
เลือกเครื่องตรวจจับรอยรั่วที่เหมาะสมกับประเภทของก๊าซที่ใช้ในการทดสอบ

คำแนะนำเพิ่มเติม
ควรทำการทดสอบท่อลมร้อนเป็นประจำตามตารางเวลาที่กำหนด
ควรมีการบันทึกผลการทดสอบ เพื่อใช้ในการติดตามและวางแผนการบำรุงรักษา
หากไม่แน่ใจในการทดสอบ ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อขอคำแนะนำเพิ่มเติม

8
การสร้างอาชีพ จากการขายน้ำพริกขี้กา น้ำพริกโบราณไทยรสชาติอร่อยไม่เหมือนใคร

ประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องอาหารหลากหลายและรสชาติดี โดยพริกแกงมีบทบาทสำคัญในการเพิ่มรสชาติให้กับอาหารหลายชนิด น้ำพริกขี้กาเป็นอีกชนิดที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักแต่มีรสชาติอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ พริกแกงไทยแบบดั้งเดิมที่มีรสชาติเข้มข้นและเผ็ดร้อน น้ำพริกขี้กาเป็นอาหารไทยชนิดหนึ่งมีลักษณะแห้งข้น คล้ายน้ำพริกเผา แต่มีสีดำ มีรสเผ็ด เค็ม หวานและมีกลิ่นหอมของสมุนไพร

น้ำพริกขี้กาคืออะไร ?
น้ำพริกขี้กาเป็นพริกเผาชนิดหนึ่งที่ทำจากวัตถุดิบที่คั่วจนหอมและมีรสขมเล็กน้อย ชื่อ “ขี้กา” หมายถึงพริกพันธุ์พื้นเมืองที่มักใช้ทำน้ำพริกชนิดนี้ เนื่องจากมีรสเผ็ดร้อนและมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว

ส่วนผสมที่สำคัญ
ส่วนผสมของน้ำพริกขี้หนูอาจแตกต่างกันเล็กน้อยในแต่ละภูมิภาค แต่ส่วนประกอบที่สำคัญโดยทั่วไปประกอบด้วย:
พริกแห้ง – มีรสเผ็ดและมีสีแดงเข้ม
หอมแดง – เพิ่มความหวานและความเข้มข้นของรสชาติ
กระเทียม – ช่วยเพิ่มกลิ่นหอมและรสชาติ
กะปิ – ให้รสชาติเค็มและเข้มข้น
น้ำมะนาว – เพิ่มรสชาติเปรี้ยวอมหวาน
น้ำตาลปาล์ม – ช่วยลดความเผ็ดลงและมีรสหวานเล็กน้อย
น้ำปลา – เพิ่มความเข้มข้นเผ็ดร้อนให้กับน้ำพริก

วิธีรับประทานน้ำพริกขี้กา
น้ำพริกชนิดนี้นิยมรับประทานคู่กับผักสด ผักนึ่ง ปลาทอด หรือไข่ลวก นอกจากนี้ยังสามารถนำไปคลุกข้าวสวยเพื่อปรุงอาหารจานง่ายๆ แต่รสชาติกลมกล่อม ผสมผสานรสชาติเผ็ด เค็ม เปรี้ยว และหวานเล็กน้อย ทำให้เป็นเครื่องปรุงรสอเนกประสงค์ที่ช่วยเสริมรสชาติให้กับอาหารจานใดๆ ก็ได้

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
น้ำพริกขี้กานอกจากจะอร่อยแล้วยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย:
อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระจากพริกและกระเทียม ช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกัน
ช่วยย่อยอาหารเนื่องจากมีส่วนผสมกะปิ
ทานคู่กับผักสดมีแคลอรี่ต่ำ

น้ำพริกขี้กาเป็นอัญมณีที่ซ่อนเร้นอยู่ในอาหารไทย นำเสนอรสชาติที่ผสมผสานระหว่างความเผ็ดร้อน ความหอมควัน และอูมามิ ไม่ว่าคุณจะเป็นแฟนอาหารรสเผ็ดหรือกำลังมองหาเครื่องปรุงรสไทยแบบดั้งเดิม น้ำพริกนี้ถือเป็นเมนูที่ต้องลอง จับคู่กับผักสดหรืออาหารไทยจานโปรดของคุณเพื่อสัมผัสรสชาติที่แท้จริงและอร่อย

9
ศูนย์ข้อมูลโควิด-19: โควิด-19 เราต้องรอด! กลับถึงบ้าน…ทำสิ่งเหล่านี้ทันที

ในช่วงที่สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ยังคงน่าเป็นห่วง และใกล้ตัวเรามากขึ้นทุกที การเดินทางและออกไปทำกิจกรรมนอกบ้านมีความเสี่ยงต่อการสัมผัสเชื้อโควิด-19 และนำเชื้อกลับเข้ามาภายในบ้านของคุณโดยไม่รู้ตัว!

ดังนั้น นอกจากการป้องกันตนเองตามมาตรการอย่างเคร่งครัดแล้ว หากออกไปนอกบ้าน ไม่ว่าจะใกล้หรือไกลแค่ไหน ควรปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ เพื่อป้องกันการติดเชื้อโควิด-19 โดยสิ่งที่ควรทำทันทีเมื่อกลับถึงบ้าน ควรปฏิบัติดังนี้

ล้างมือด้วยแอลกอฮอล์ก่อนเข้าบ้าน หรือฟอกสบู่อย่างน้อย 20 วินาที
ถอดหน้ากากอนามัยทิ้งใส่ถุงขยะติดเชื้อให้มิดชิด และทิ้งถังขยะที่มีฝาปิดเฉพาะ
อาบน้ำ สระผม ทันทีที่ถึงบ้าน
เช็ดทำความสะอาดโทรศัพท์ กระเป๋า แว่นตา ของใช้ส่วนตัว
หลีกเลี่ยงการสัมผัสสิ่งของในบ้านก่อนไปอาบน้ำ
รีบถอดเสื้อผ้า แยกไว้เพื่อเตรียมซัก ไม่ให้ปะปนกันกับเสื้อผ้าที่ใส่ในบ้าน
ใช้ช้อนกลางตักอาหาร เมื่อรับประทานอาหารกับสมาชิกในครอบครัว
งดเล่นกับสัตว์เลี้ยงก่อนเข้าบ้าน
เก็บร้องเท้าไว้ข้างนอกบ้าน / นอกห้อง

เชื้อ COVID-19 มีชีวิตอยู่ได้นานกี่วัน !?

อายุขัย COVID-19 แตกต่างกันออกไปตามแต่ละพื้นผิวโดยเชื้อสามารถมีชีวิตอยู่รอดได้หลายชั่วโมงบนพื้นผิวเรียบแต่หากอยู่ในความชื้นที่เหมาะสม ก็สามารถอยู่รอดได้หลายวัน

ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายด้านไม่ว่าจะเป็นอุณหภูมิความชื้น และชนิดของพื้นผิว โดยอายุขัยของ COVID-19 จะแตกต่างกันไปในแต่ละสภาพแวดล้อม ดังนี้

▪ อากาศ (5 นาที)
▪ ลูกบิดประตู (8 ชั่วโมง)
▪ กระดาษทิชชู่ (12 ชั่วโมง)
▪ โต๊ะผิวเรียบ (1-2 วัน)
▪ โทรศัพท์ (4 วัน)
▪ น้ำ (4 วัน)
▪ ธนบัตร (5 วัน)
▪ ที่อุณภูมิต่ำกว่า 4 องศา (1 เดือน)

6 ข้อควรรู้ เพื่อป้องกันตัวเองจาก COVID-19

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโควิดในปัจจุบัน ควรปฏิตามข้อแนะนำต่อไปนี้อย่างเคร่งครัดเพื่อป้องกันตัวให้ปลอดภัย และห่างไกลจาก COVID-19

ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์
รักษาระยะห่างจากคนอื่น 1-2 เมตร
ออกจากบ้านเมื่อจำเป็นเท่านั้น
หลีกเลี่ยงสถานที่แออัด
ใส่ถุงมือ ลดการสัมผัสโดยตรงกับเชื้อโรค
ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกจากบ้าน

อย่างไรก็ตามอย่าลืมสังเกตอาการตนเอง หากมีความผิดปกติ หรือสัมผัสผู้ติดเชื้อ ควรรีบมาพบแพทย์ และควรป้องกันตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยปฏิบัติอย่างเคร่งครัด สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน และหมั่นล้างมือด้วยแอลกอฮอล์เจล หรือสบู่บ่อยๆ หลีกเลี่ยงการไปอยู่ในสถานที่แออัด ไม่ปลอดโปร่ง เว้นระยะห่างระหว่างบุคคล Social Distancing

10
การเข้ารับการจัดฟันเด็ก ควรต้องมีการทำความสะอาดช่องปากอย่างไร

การทำความสะอาดช่องปากสำหรับเด็กที่เข้ารับการจัดฟันเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อป้องกันปัญหาฟันผุ เหงือกอักเสบ และคราบหินปูนสะสม ซึ่งมักจะเกิดขึ้นได้ง่ายกว่าปกติเนื่องจากมีเครื่องมือจัดฟันเป็นอุปสรรคในการทำความสะอาด นี่คือคำแนะนำในการทำความสะอาดช่องปากสำหรับเด็กจัดฟันอย่างละเอียดค่ะ

อุปกรณ์ที่จำเป็นสำหรับการทำความสะอาดช่องปากเด็กจัดฟัน:

แปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟัน (Orthodontic Toothbrush):

มีลักษณะขนแปรงตรงกลางสั้นกว่าขนแปรงด้านข้าง ทำให้สามารถแปรงทำความสะอาดได้ทั้งบริเวณเครื่องมือจัดฟันและผิวฟัน

ควรเลือกขนแปรงที่นุ่มถึงนุ่มปานกลาง เพื่อไม่ให้ระคายเคืองเหงือกและเครื่องมือ


แปรงซอกฟัน (Interdental Brush):

มีลักษณะเป็นแปรงขนาดเล็กปลายแหลมคล้ายต้นคริสต์มาส ใช้สำหรับสอดเข้าไปทำความสะอาดบริเวณใต้เส้นลวดจัดฟัน รอบๆ แบร็กเก็ต และซอกฟันที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง


มีหลายขนาด ควรเลือกขนาดที่เหมาะสมกับช่องว่างของฟัน

ไหมขัดฟันสำหรับคนจัดฟัน (Orthodontic Floss / Super Floss / Floss Threader):

Super Floss: เป็นไหมขัดฟันที่มีส่วนปลายแข็ง สามารถสอดผ่านใต้เส้นลวดจัดฟันได้ง่าย และมีส่วนที่ฟูสำหรับทำความสะอาด

Floss Threader: เป็นอุปกรณ์ช่วยนำไหมขัดฟันธรรมดาให้สามารถสอดผ่านใต้เส้นลวดจัดฟันได้

การใช้ไหมขัดฟันเป็นสิ่งสำคัญมากในการทำความสะอาดซอกฟันและบริเวณที่แปรงสีฟันเข้าไม่ถึง


ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์:

เลือกยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ในปริมาณที่เหมาะสมกับช่วงวัยของเด็ก เพื่อช่วยป้องกันฟันผุและเสริมสร้างความแข็งแรงของเคลือบฟัน

น้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ (Alcohol-free Fluoride Mouthwash):

ใช้เป็นตัวช่วยเสริมหลังจากการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน เพื่อช่วยลดแบคทีเรียและเพิ่มฟลูออไรด์ให้กับช่องปาก

สำคัญมาก: ต้องเลือกชนิดที่ไม่มีแอลกอฮอล์ เพื่อป้องกันการระคายเคืองและปากแห้ง

เครื่องฉีดน้ำ (Water Flosser / Oral Irrigator) (เป็นทางเลือกเสริม):

เป็นอุปกรณ์ที่ใช้แรงดันน้ำฉีดทำความสะอาดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์ที่ติดอยู่ตามเครื่องมือจัดฟันและซอกฟันได้ดีมาก

มีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดสูงและช่วยให้เด็กรู้สึกสบายปาก

ขั้นตอนการทำความสะอาดช่องปากสำหรับเด็กจัดฟัน:
แนะนำให้ทำความสะอาดอย่างน้อย วันละ 2 ครั้ง (เช้าและก่อนนอน) และควรบ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหรือน้ำยาบ้วนปากหลังอาหารทุกมื้อ

1. การแปรงฟันด้วยแปรงสีฟันสำหรับคนจัดฟัน:
* แปรงด้านบนของแบร็กเก็ต: วางแปรงทำมุม 45 องศา เอียงขนแปรงลงด้านล่างเล็กน้อย เพื่อให้ขนแปรงทำความสะอาดบริเวณเหนือแบร็กเก็ตและขอบเหงือกด้านบน
* แปรงด้านล่างของแบร็กเก็ต: วางแปรงทำมุม 45 องศา เอียงขนแปรงขึ้นด้านบนเล็กน้อย เพื่อให้ขนแปรงทำความสะอาดบริเวณใต้แบร็กเก็ตและขอบเหงือกด้านล่าง
* แปรงผิวด้านบดเคี้ยวและด้านในของฟัน: แปรงให้ทั่วถึงเหมือนการแปรงฟันปกติ
* แปรงฟันแต่ละซี่อย่างเบามือและทั่วถึง: ใช้เวลาแปรงอย่างน้อย 2-3 นาที

2. การใช้แปรงซอกฟัน:
* สอดแปรงซอกฟันเข้าไปในช่องว่างระหว่างเส้นลวดกับตัวฟันแต่ละซี่ และรอบๆ แบร็กเก็ต ค่อยๆ ขยับแปรงเข้าออกเพื่อทำความสะอาดเศษอาหารและคราบจุลินทรีย์

3. การใช้ไหมขัดฟัน:
* สำหรับ Super Floss: สอดปลายไหมขัดฟันที่เป็นส่วนแข็งใต้เส้นลวดจัดฟัน จากนั้นใช้ส่วนที่เป็นไหมขัดฟันทำความสะอาดซอกฟันแต่ละซี่ โดยโอบรอบฟันและขยับขึ้นลงเบาๆ ทั้งสองด้านของซี่ฟัน
* สำหรับ Floss Threader: ร้อยไหมขัดฟันธรรมดาเข้าไปใน Floss Threader จากนั้นสอด Floss Threader ใต้เส้นลวดจัดฟัน แล้วนำไหมขัดฟันไปทำความสะอาดซอกฟันแต่ละซี่

4. การบ้วนปาก:
* บ้วนปากด้วยน้ำยาบ้วนปากผสมฟลูออไรด์ (ชนิดไม่มีแอลกอฮอล์) ตามคำแนะนำบนฉลาก (ส่วนใหญ่ประมาณ 30 วินาทีถึง 1 นาที) หลังจากการแปรงฟันและใช้ไหมขัดฟัน
* บ้วนปากด้วยน้ำเปล่าหลังรับประทานอาหารทุกครั้ง เพื่อกำจัดเศษอาหารที่ติดเครื่องมือ

5. การใช้เครื่องฉีดน้ำ (ถ้ามี):
* เติมน้ำสะอาดหรือน้ำยาบ้วนปากเจือจางลงในเครื่อง
* ใช้หัวฉีดน้ำทำความสะอาดบริเวณเครื่องมือจัดฟัน ซอกฟัน และขอบเหงือก โดยฉีดน้ำไปตามแนวเส้นลวดและรอบๆ แบร็กเก็ต

คำแนะนำเพิ่มเติม:
อดทนและสม่ำเสมอ: การทำความสะอาดช่องปากสำหรับเด็กจัดฟันต้องใช้เวลาและความพยายามมากขึ้น เด็กอาจต้องใช้เวลาปรับตัวและฝึกฝน

ผู้ปกครองมีบทบาทสำคัญ: ผู้ปกครองควรช่วยดูแลและตรวจสอบการทำความสะอาดของเด็ก โดยเฉพาะในเด็กเล็ก

พกชุดทำความสะอาดฟัน: ควรมีชุดแปรงสีฟัน แปรงซอกฟัน และไหมขัดฟันขนาดพกพา เพื่อให้เด็กสามารถทำความสะอาดช่องปากได้หลังอาหารที่โรงเรียนหรือนอกบ้าน

พบทันตแพทย์ตามนัด: ทันตแพทย์จะตรวจสอบสภาพช่องปากและเครื่องมือจัดฟัน รวมถึงให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการดูแลทำความสะอาดที่เหมาะสม

การดูแลช่องปากอย่างถูกวิธีและสม่ำเสมอจะช่วยให้การจัดฟันประสบความสำเร็จ ฟันเรียงสวย และมีสุขภาพช่องปากที่ดีไปพร้อมๆ กันค่ะ

11
motor show 2025: Neta S wagon บนโชว์รูม ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

สมรภูมิของรถพลังงานใหม่หรือ NEV สำหรับผู้ผลิตรถยนต์แดนมังกรในตอนนี้ถือว่าดุเดือดไม่น้อย ค่ายรถต่างสร้างทางเลือกมากมายเพื่อตอบสนองผู้บริโภคให้หลากหลายยิ่งขึ้น Neta S ตัวถัง station wagon จึงถือกำเนิดขึ้น
 
ก่อนหน้านี้ เราจะเห็นได้ว่ามีการเปิดตัว Neta S Sedan มาแล้ว ต่อมาจึงมีภาพสปายช็อตและภาพจากทางการของจีนออกมา คราวนี้ น่าสนใจตรงที่ว่าเป็นรถคันจริงในโชว์รูมกันเลยทีเดียว
 

ดีไซน์แบบ Neta S sedan แต่ให้ประโยชน์ใช้สอยมากกว่า
 
Neta S wagon ใช้ดีไซน์ด้านหน้าร่วมกับ Neta S sedan มาพร้อมหน้าตาแบบรถสปอร์ต ไฟหน้าเรียวยาวแบบแยกส่วน ช่องดักลมที่ดูโฉบเฉี่ยว สร้างหน้าตาโดยรวมที่ทันสมัย ให้ความสปอร์ต
 
รถคันนี้เป็นรถวากอนที่ค่อนข้างดูโฉบเฉี่ยว ด้วยเส้นสายตรงเสา C ที่ลาดเอียง, ล้ออัลลอยลวดลายกลีบดอกไม้, มือจับประตูแบบซ่อน, ประตูแบบ Frameless, สปอยเลอร์หางเป็ด และไฟท้ายเต็มความกว้างของรถ ซึ่งให้ความสปอร์ตที่เป็นเอกลักษณ์
 

ภายในหรูหราและสปอร์ตในคราวเดียว
 
ภายในของ Neta S wagon มาพร้อมความหรูหราและความล้ำสมัย โดยใช้ดีไซน์จากรุ่นซีดานมาเกือบทั้งหมด มาพร้อมมาตรวัดดิจิตอล LCD หน้าจอกลางแนวตั้งขนาดใหญ่ คันเกียร์ไฟฟ้า
 

การตกแต่งภายในใช้วัสดุหนังกลับทั่วบริเวณ ทั้งบนแผงแดชบอร์ด ที่พักแขนคอนโซลกลาง ไปจนถึงเบาะนั่ง พร้อมตกแต่งด้วยวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ ให้ทั้งความรู้สึกพรีเมียมและสปอร์ตในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้ยังมีฟังก์ชัน ตู้เย็นขนาด 6.6 ลิตร เหมาะกับการขับรถเดินทางไกล
 
มิติตัวถัง Neta S Wagon
 
ความยาว 4,980 มม.
ความกว้าง 1,980 มม.
ความสูง 1,480 มม.
ระยะฐานล้อ 2,980 มม.
พบว่า รถคันนี้สูงกว่ารุ่นซีดานอยู่ 30 มม. ซึ่งส่งผลมาจากตัวถังสเตชันวากอนที่ให้พื้นที่เหนือศีรษะและพื้นที่เก็บของที่มากขึ้น


มีทั้งขุมพลัง EREV และ BEV พร้อมแพลตฟอร์มใหม่ ชาร์จไวขึ้น
 
Neta S wagon มีทั้งขุมพลัง EREV และไฟฟ้าล้วน BEV ให้เลือก สำหรับรุ่น EREV มาพร้อมเครื่องยนต์ 1.5 ลิตร ปั่นไฟใส่แบตเตอรี่เพื่อเป็นพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยวขนาด 268 แรงม้า หรือมอเตอร์คู่ขนาด 362 แรงม้า พร้อมแบตเตอรี่ขนาด 31.71 kWh หรือ 43.88 kWh ให้เลือก ให้ระยะทางขับขี่โหมด EV ที่ 125, 130 และ 185 กม.
 
ส่วนรุ่นไฟฟ้าล้วน BEV มีตัวเลือกเป็นมอเตอร์ไฟฟ้าเดี่ยว 268 แรงม้า และมอเตอร์คู่ 496 แรงม้า
 
Neta S wagon คาดว่าอยู่ภายใต้แพลตฟอร์มใหม่ Shanhai 2.0 ซึ่งจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปีหน้า โดยแพลตฟอร์มใหม่นี้จะปรับปรุงให้การขับขี่สะดวกสบายยิ่งขึ้น และรองรับเทคโนโลยีโครงสร้างไฟฟ้า 800V ซึ่งช่วยให้ชาร์จไฟได้เร็วยิ่งขึ้น

เริ่ม 7.35 แสนบาทในจีน เปิดตัวภายในเดือนนี้
 
Neta S wagon จะเปิดขายในจีนอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคมนี้ โดยเริ่มต้นที่ 150,000 หยวนหรือราว 7.35 แสนบาท ไปจนถึงประมาณ 250,000 หยวนหรือ 1.2 ล้านบาท  โดยเริ่มส่งมอบในช่วงต้นเดือนกันยายนนี้
 
ซึ่งในตอนแรก Neta S wagon จะจำหน่ายในประเทศจีนเท่านั้น แต่ภายหลังมีแผนจำหน่ายในประเทศอื่นแล้ว ชาวไทยเตรียมกระเป๋าตังรอไว้ก่อนได้เลย

12
Doctor At Home: เลือดกำเดา (Epistaxis/Nose bleed)

เลือดกำเดา (เลือดออกจากจมูก) เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่บริเวณเยื่อจมูกมีการแตกทำลาย ทำให้มีเลือดออกจากรูจมูก

ส่วนใหญ่เกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้าแตก มักมีเลือดออกจากจมูกข้างเดียว อาการมักไม่รุนแรง และเลือดหยุดได้ง่าย ภาวะนี้พบบ่อยในเด็ก

ส่วนน้อยเกิดจากหลอดเลือดฝอยที่ผนังจมูกด้านข้างซึ่งอยู่ลึกไปทางด้านหลังของจมูก (มีขนาดที่ใหญ่กว่าหลอดเลือดฝอยที่ผนังกั้นจมูกด้านหน้า) แตก อาจมีเลือดออกจากจมูก 2 ข้าง และอาจมีเลือดออกมาก ซึ่งจะไหลลงคอและปาก ภาวะนี้พบบ่อยในผู้ใหญ่

เลือดกำเดาส่วนมากมักเกิดอาการขึ้นฉับพลัน บางรายอาจมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย พบได้ในคนทุกวัย พบบ่อยในเด็กเล็ก (อายุ 2-10 ปี) และผู้สูงอายุ (อายุ 50-80 ปี) 

นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในหญิงตั้งครรภ์ (เนื่องจากหลอดเลือดขยายตัว ทำให้ผนังหลอดเลือดฝอยแตกได้ง่าย) ผู้ที่สูบบุหรี่ (เนื่องจากบุหรี่ทำให้ระคายเคืองต่อเยื่อบุจมูก จมูกแห้ง) หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด (เนื่องจากแอลกอฮอล์ทำให้หลอดเลือดขยายตัว และยับยั้งการแข็งตัวของเลือด)

ส่วนมากจะไม่มีอันตรายร้ายแรง และหายได้เอง


สาเหตุ

โดยมากมักไม่มีสาเหตุร้ายแรง ซึ่งจะมีเลือดออกเพียงเล็กน้อยและหยุดได้เอง

สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ การแคะจมูกหรือสั่งน้ำมูกแรง ๆ การเจออากาศแห้งหรือหนาวเย็น หรือนอนในห้องปรับอากาศ การอักเสบของเยื่อจมูก (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เป็นต้น) การอยู่ในที่สูงซึ่งมีความดันบรรยากาศลดลง (เช่น การนั่งเครื่องบิน การอยู่บนภูเขาสูง)

อาจเกิดจากได้รับบาดเจ็บ (เช่น ถูกแรงกระแทกที่ดั้งจมูก) มีสิ่งแปลกปลอมเข้าจมูก ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก การสูบบุหรี่ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จัด

อาจพบร่วมกับโรคติดเชื้อ (เช่น หัด มาลาเรีย ไข้เลือดออก เป็นต้น) ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคตับเรื้อรัง (มีภาวะเลือดออกง่าย) การใช้ยา (เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก แก้คัดจมูก)

ผู้ป่วยที่เป็นความดันโลหิตสูง บางครั้งก็อาจมีเลือดกำเดาไหล และถ้ามีความดันโลหิตสูงแบบวิกฤต (hypertensive crisis คือ ความดันช่วงบนมากกว่าหรือเท่ากับ 180 หรือช่วงล่างมากกว่าหรือเท่ากับ 120 มม.ปรอท) ก็มักจะมีอาการเลือดกำเดาไหลบ่อย

ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุร้ายแรง เช่น โรคเลือดที่มีเลือดออกง่าย ได้แก่ ฮีโมฟิเลีย มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางจากไขกระดูกฝ่อ ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว อาจมีเลือดออกที่อื่น ๆ มีไข้ หรือตับโตม้ามโตร่วมด้วย

ในผู้ใหญ่ที่มีเลือดกำเดาบ่อยร่วมกับอาการคัดจมูก หูอื้อหรือมีก้อนบวมที่ข้างคอ อาจเกิดจากมะเร็ง หรือเนื้องอกในจมูกหรือโพรงหลังจมูก

อาการ

มีเลือดสด ๆ ไหลออกทางรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง หรือทั้ง 2 ข้าง

ถ้าออกที่ด้านหลังของจมูกอาจมีเลือดไหลลงคอและปาก ผู้ป่วยอาจมีอาการไอออกมาเป็นเลือดจากเลือดกำเดาที่ไหลลงคอ หรืออาจกลืนเลือดลงไปในกระเพาะอาหารทำให้อาเจียน หรือมีอาการถ่ายอุจจาระดำ (ซึ่งเป็นเลือดเก่า มาจากเลือดกำเดาที่ไหลลงไปในลำไส้) ในวันต่อ ๆ มา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าออกมากอาจทำให้เกิดภาวะซีดได้ ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นค่อนข้างน้อย


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

อาจตรวจพบเลือดกำเดาไหลหรือจุดเลือดออกที่เยื่อจมูก ภาวะซีด (ในรายที่เสียเลือดมาก)

ในรายที่มีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา อาจตรวจพบความผิดปกติ เช่น ไข้ น้ำมูกไหล จุดแดงจ้ำเขียวตามตัว เลือดออกตามที่อื่น ๆ ผนังกั้นจมูกคด ติ่งเนื้อเมือกจมูก สิ่งแปลกปลอมในรูจมูก ความดันโลหิตสูง ดีซ่าน ตับโต เป็นต้น 

ในรายที่เลือดกำเดาออกรุนแรง เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย หรือตรวจพบหรือสงสัยว่ามีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา แพทย์จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น ใช้กล้องส่องตรวจจมูกและโพรงหลังจมูก ตรวจชิ้นเนื้อ ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ ถ่ายภาพด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ เป็นต้น


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ให้การปฐมพยาบาล โดยให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่นเป็นเวลา 10 นาที บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน

ส่วนมากมักจะได้ผลโดยวิธีดังกล่าว ถ้าไม่ได้ผลให้ทำซ้ำอีกครั้งนาน 10 นาที

ถ้าเลือดยังไม่หยุด แพทย์จะใช้ผ้าก๊อซหรือผ้าสะอาดชิ้นเล็ก ๆ ชุบอะดรีนาลิน ขนาด 1:1,000 ให้ชุ่มสอดเข้าในรูจมูกข้างที่มีเลือดออก ยัดให้แน่น ยานี้จะช่วยให้หลอดเลือดฝอยตีบลงและเลือดหยุดได้ ควรยัดผ้าก๊อซไว้นาน 2-3 ชั่วโมง เมื่อแน่ใจว่าเลือดหยุดดีแล้วจึงค่อย ๆ ดึงออก

ในรายที่เลือดออกไม่หยุด อาจต้องรักษาโดยการจี้ด้วยสารเคมี-ซิลเวอร์ไนเทรต (silver nitrate) หรือจี้ด้วยความร้อน (electrocautery)

2. ในรายที่แพทย์ทำการตรวจเพิ่มเติม พบภาวะซีด หรือโรคที่เป็นสาเหตุ ก็จะทำการรักษาภาวะ/โรคที่ตรวจพบ เช่น ให้ยาบำรุงโลหิตในรายที่มีภาวะซีดจากการเสียเลือด, ให้ยารักษาโรค (เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง โรคเลือด), ปรับเปลี่ยนยา (ที่ใช้รักษาโรคอยู่เดิม) ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เลือดกำเดาไหล, เอาสิ่งแปลกปลอมออก, ผ่าตัดแก้ไข (เช่น ผนังกั้นจมูกคด เนื้องอกในโพรงจมูก) เป็นต้น

ผลการรักษา ส่วนใหญ่หายได้ภายในเวลาสั้น ๆ โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อน แต่ถ้าหลังจากนั้นผู้ป่วยไม่ได้หลีกเลี่ยงปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดอาการ ก็อาจกำเริบซ้ำได้อีก

ส่วนน้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ซึ่งมีโรคที่เป็นสาเหตุของเลือดกำเดา จำเป็นต้องได้รับการรักษาโรคที่เป็นสาเหตุอย่างต่อเนื่อง
 

วิธีห้ามเลือดกำเดา

การปฐมพยาบาล สำหรับอาการเลือดกำเดาไหล

    จัดให้ผู้ป่วยนั่งตัวตรง โน้มตัวไปข้างหน้า ก้มศีรษะเล็กน้อย
    ใช้นิ้วโป้งกับนิ้วชี้บีบจมูกทั้ง 2 ข้างให้แน่น บอกให้ผู้ป่วยหายใจทางปากแทน นาน 10 นาที
    ถ้าคลายนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ที่บีบจมูกออกแล้วเลือดยังไม่หยุด ให้ทำการบีบจมูกตามขั้นตอนข้างต้นซ้ำอีกครั้ง นาน 10 นาที ถ้าเลือดยังไม่หยุดควรรีบไปพบแพทย์ หรือให้แพทย์ทำการช่วยเหลือด้วยวิธีอื่นต่อไป

หมายเหตุ

    ระหว่างให้การปฐมพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยนอนราบหรือเงยหน้าขึ้น เพราะผู้ป่วยอาจกลืนเลือดลงไประคายต่อกระเพาะอาหาร เกิดอาการอาเจียนได้ หากมีเลือดไหลลงคอหรือปาก ควรคายออก อย่ากลืนลงไป
    หลังจากให้การช่วยเหลือจนเลือดหยุดแล้ว ควรระวังไม่ให้มีเลือดกำเดาออกอีก โดย
    - รักษาศีรษะให้อยู่ในระดับสูงกว่าหัวใจ อย่าก้มศีรษะให้อยู่ต่ำกว่าระดับหัวใจ และห้ามออกแรงเบ่ง ยกของหนัก เป็นเวลา 4-5 ชั่วโมง
    - ห้ามสั่งน้ำมูก แคะจมูก ขยี้จมูก เป็นเวลา 4-5 วัน
    - ถ้าเป็นไปได้ควรระวังไม่ให้ไอ จาม


การดูแลตนเอง

1. เมื่อมีเลือดกำเดาไหล ควรทำการปฐมพยาบาล

ควรไปพบแพทย์โดยเร็ว ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ทำการปฐมพยาบาลไม่ได้ผล หรือมีเลือดกำเดาออกนานเกิน 20 นาที
    เลือดออกมาก หรือมีเลือดออกตามที่อื่น ๆ
    หายใจลำบาก
    มีอาการอาเจียนเพราะกลืนเลือดลงกระเพาะอาหารมาก
    ได้รับบาดเจ็บรุนแรง เช่น รถชน ตกจากที่สูง ถูกทุบตีที่ศีรษะ/ใบหน้า/จมูก
    มีภาวะซีดจากการเสียเลือด หรือมีจุดแดงจ้ำเขียวตามตัว
    มีประวัติกินยาต้านเกล็ดเลือด/สารกันเลือดเป็นลิ่ม
    มีโรคประจำตัว เช่น โรคเลือด ความดันโลหิตสูง โรคตับเรื้อรัง
    พบในเด็กอายุต่ำกว่า 2 ปี
    เป็น ๆ หาย ๆ บ่อย

2. กรณีที่ไปพบแพทย์ เมื่อได้รับการรักษาจากแพทย์ ควรดูแลตนเองดังนี้

    กินยาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามการรักษาตามที่แพทย์นัด
    ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้
    - มีเลือดกำเดาไหลไม่หยุดหรือกำเริบใหม่
    - เจ็บหรือแน่นจมูกมาก หายใจลำบาก ปวดศีรษะมาก อาเจียนบ่อย มีไข้สูง เบื่อ อาหาร หรือน้ำหนักลด
    - กินยาที่แพทย์ให้กลับไปกินที่บ้าน แล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา (เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม คลื่นไส้ อาเจียน หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ) ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด


การป้องกัน

สำหรับเลือดกำเดาที่พบบ่อยซึ่งมักเกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ ควรปฏิบัติ ดังนี้

    หลีกเลี่ยงการแคะจมูก และตัดเล็บให้สั้น (โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเล็ก)
    หลีกเลี่ยงการสั่งน้ำมูกแรง ๆ
    ไม่สูบบุหรี่
    จำกัดปริมาณแอลกอฮอล์ที่ดื่ม
    ถ้าเป็นหวัด น้ำมูกไหล ใช้ยาตามขนาดที่แพทย์แนะนำ และไม่ใช้ติดต่อกันนาน ๆ
    หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่อากาศแห้งหรือหนาวเย็น ถ้าเลี่ยงไม่ได้ ควรพ่นรูจมูกด้วยสเปรย์น้ำเกลือ/หยอดจมูกด้วยน้ำเกลือ วันละ 2-3 ครั้งเพื่อให้จมูกชุ่มชื้น
    ถ้ามีอาการเลือดกำเดาเวลานอนในห้องปรับอากาศ ควรตั้งเครื่องเพิ่มความชื้นไว้ในห้อง หรือวางภาชนะใส่น้ำ (เช่น แก้ว ขัน กระป๋อง กะละมัง) ไว้ใกล้หัวนอน เพื่อเพิ่มความชื้น และ/หรือใช้วาสลินป้ายในรูจมูกก่อนนอน
    ถ้าทำกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บต่อศีรษะ/จมูก ควรใช้อุปกรณ์ป้องกัน
    ในรายที่เกิดจากสาเหตุที่ป้องกันได้ เช่น ไข้หวัด หวัดภูมิแพ้ ไซนัสอักเสบ ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ก็ควรดูแลรักษาโรคเหล่านี้ให้ถูกต้อง

ข้อแนะนำ

1. เลือดกำเดาส่วนใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่พบในเด็ก มักไม่รุนแรง และหยุดได้ภายใน 20 นาที โดยอาจหยุดได้เองหรือหลังให้การปฐมพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่มีเลือดกำเดาไหลนานหรือรุนแรง หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุ

2. ผู้ใหญ่หรือผู้สูงอายุ หากมีเลือดกำเดาไหล อาจมีความรุนแรง มีเลือดไหลมากและนานได้ เนื่องจากอาจมีโรคประจำตัว (เช่น โรคเลือด โรคตับเรื้อรัง ความดันโลหิตสูง มะเร็งโพรงหลังจมูก) หรือกินยารักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดที่มีผลทำให้เลือดออกง่าย (เช่น ยาต้านเกล็ดเลือด สารกันเลือดเป็นลิ่ม) ดังนั้น เมื่อมีเลือดกำเดาเกิดขึ้น ควรเฝ้าสังเกตอาการ หากมีเลือดกำเดาออกมากหรือนานเกิน 20 นาที ก็ควรรีบไปพบแพทย์

13
งานมอเตอร์โชว์ GWM มีอะไรใหม่ใน Auto Shanghai 2025 ยังอยู่ในไทย อีกนานไหม?

ซึ่งได้เห็นเทคโนโลยียานยนต์ใหม่ ๆ โดยเฉพาะจาก GWM (Great Wall Motor) ที่น่าจับตามองทั้งในจีนและไทย โดยภาพรวมของงานนี้จะเป็นงานโชว์ขนาดใหญ่เทียบเท่ากับ 7-8 ฮอลล์ของเมืองทองธานี ซึ่งจะมีแบรนด์รถยนต์จากทั่วโลกเข้าร่วม ทั้งแบรนด์จีน ญี่ปุ่นและยุโรป โดยแต่ละบูธโชว์เทคโนโลยีและรุ่นรถใหม่ ทั้งไฟฟ้า ไฮบริด และระบบขับเคลื่อนขั้นสูง
 

ไฮไลต์จาก GWM
GWM ตั้งบูธขนาดใหญ่ แบ่งเป็น 3 โซนหลัก
โซนรถยนต์ทั่วไป
รถเก๋ง, SUV ไฟฟ้าและไฮบริด, รถตู้ MPV
รุ่นเด่นเช่น ORA 07 Estate (Wagon) – รถต้นแบบผสมผสาน 07 กับท้ายสไตล์ Station Wagon

โซนเทคโนโลยีใหม่
เปิดตัว ระบบขับเคลื่อนใหม่ Hi4 / Hi4-T
ระบบขับสี่ขั้นสูง ใช้ทั้งเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า
เน้นประหยัดพลังงานและสมรรถนะลุยทางวิบาก
โซนออฟโรดและรถต้นแบบ
รุ่น Tank 300, Tank 500, Tank 700 พร้อมระบบขับเคลื่อนใหม่
เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ Big Bike Soul ที่ใช้เครื่องยนต์ V8 แบบนอน (Flat-8)
เทคโนโลยีใหม่จาก GWM

Hi-4 (Hybrid Intelligent 4WD)
เครื่องยนต์วางขวาง + มอเตอร์หน้า-หลัง
วิ่งไฟฟ้าได้ไกลขึ้น พร้อมขับสี่ Real-time

Hi-4T (เน้นลุยหนัก)
เครื่องยนต์ดีเซลหรือเบนซิน + ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อแบบเผลาขับ
ใช้ในรุ่น Tank 300/500 และรถกระบะ Power
ระบบช่วยขับขี่ขั้นสูง (เทียบเท่า Autopilot)
เปลี่ยนเลนเอง ออกตัวเมื่อไฟเขียว
ระบบช่วยเบรก และขับตามสภาพจราจร

ความเคลื่อนไหวของ GWM ในประเทศไทย
ปี 2025 เตรียมนำ WEY 80 MPV (Hybrid) เข้ามาทำตลาด
อาจตามด้วย Tank 300/500 Minorchange ที่ใช้ระบบ Hi-4T
แนวโน้ม GWM ในไทย:
เน้นไฮบริดมากขึ้น
ยังทำตลาดรถไฟฟ้า EV ควบคู่ต่อไป
พัฒนาเทคโนโลยีขับเคลื่อนสี่ล้อให้เหมาะกับสภาพการใช้งานในไทย

รุ่นน่าสนใจที่อยากให้เข้าไทย

Haval H7
SUV ขนาดกลาง สไตล์บึกบึน พรีเมียม
ใช้เทคโนโลยี Hi-4T พร้อมปลั๊กอินได้

Menglong
SUV ทรงกล่อง ใหญ่กว่ารถปกติ
ลุยได้เต็มที่ด้วยระบบขับสี่ใหม่

เพิ่มเติมที่สัมผัสได้จากการทดลองขับ
V80 MPV ขับง่าย คล่องตัว เหมือนรถเก๋งขนาดเล็ก
Tank 300 ใหม่ ปีนไต่ทางชันได้ดี ระบบควบคุมการลงเนินแม่นยำ
มอเตอร์ไซค์ Soul ให้ฟีลขับเหมือนรถยนต์หรู พร้อมหน้าจอและฟีเจอร์ทันสมัย

บรรยากาศงานและข้อสังเกต
งาน Auto Shanghai คนแน่นมาก ต้องเบียดและรีบเก็บข้อมูล
ป้ายและข้อมูลส่วนใหญ่เป็นภาษาจีน ทำให้เก็บรายละเอียดได้ไม่ครบ
GWM มีการลงทุนในงานนี้อย่างยิ่งใหญ่ มีสื่อจากทั่วโลกเข้าร่วม

14
ระวัง “นอนกรน” ส่งผลกับชีวิตการจัดฟันเด็ก EF Line ช่วยได้

เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงเคยประสบปัญหาการนอนกรน หรือคนรอบข้างนอนกรนกันมาบ้างไม่มากก็น้อย หลายๆท่านมองว่าการนอนกรนแค่สร้างปัญหารำคาญให้คนรอบข้างในขณะหลับเท่านั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว จากการศึกษาวิจัยการนอนกรนอาจจะมีภาวะที่เรียกว่าหยุดหายใจชั่วขณะร่วมด้วยส่งผลให้สมองขาดออกซิเจน และหากว่ามีอาการที่หนักกว่านี้อาจจะส่งผลถึงชีวิตได้

ในวันนี้จะขอพาท่านผู้อ่านมาทำความรู้จักกับต้นเหตุและความอันตรายของการนอนกรน รวมถึงวิธีการแก้ปัญหาด้วย EF Line นวัตกรรมสุดทันสมัย ที่ครอบคลุมเรื่องการจัดฟันเด็กเล็ก ปรับเปลี่ยนโครงสร้างใบหน้า รวมถึงช่วยแก้ปัญหาอาการนอนกรนของท่านได้ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

การนอนกรนเกิดจากอะไร ?

อาการนอนกรน เกิดขึ้นในขณะหลับเนื่องจากว่ากล้ามเนื้อคอเกิดการผ่อนคลายและหย่อนตัวลง ส่งผลให้ทางเดินหายใจแคบลง เมื่ออากาศผ่านจึงเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อคอ เช่น ทอนซิล ลิ้นไก่ เพดานอ่อน เป็นต้น ซึ่งการสั่นดังกล่าวนั่นเองที่ทำให้เกิดเสียงดัง ที่เรียกว่า “กรน”

นอกจากการเกิดภาวะการกรนตามธรรมชาติแล้ว ยังเกิดขึ้นจากอาการป่วยที่เกี่ยวกับทางเดินหายใจด้วย เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ ผู้ป่วยโรคอ้วน การมีเนื้องอกหรือถุงน้ำของระบบทางเดินหายใจส่วนบน การนอนกรนก็ถือว่าเป็นสัญญาณของโรคเหล่านี้ด้วยเช่นกัน

อุปกรณ์ทันตกรรม EF Line ช่วยให้หายนอนกรน

เชื่อว่าหลายๆ ท่านอาจจะรู้จักกับชุดเครื่องมือทางทันตกรรม EF Line กันมาบ้างแล้ว แต่หลายๆท่านอาจจะทราบเพียงแค่ว่า อุปกรณ์ตัวนี้มีหน้าที่ในการช่วยจัดฟันที่ผิดปกติของเด็กเล็กวัยตั้งแต่ 4 ขวบ เพื่อให้กลับมาเป็นปกติและไม่มีปัญหาตามมาอีก รวมถึงปรับโครงสร้างส่วนกระดูกขากรรไกรให้เข้าที่เพื่อช่วยให้ใบหน้าที่ผิดรูปเข้าทรงตามปกติ แต่รู้หรือไม่ว่า อาการนอนกรน EF Line ก็สามารถช่วยได้ เนื่องจากว่าการนอนกรนส่วนหนึ่งเกิดขึ้นจากการที่มีตำแหน่งลิ้นผิดปกติ รวมถึงขากรรไกรที่ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่ง EF Line สามารถปรับส่วนต่างๆเหล่านี้ให้สมดุล เป็นธรรมชาติมากที่สุดโดยที่ไม่เป็นอันตรายแต่อย่างใด เพราะ EF Line จะค่อยๆปรับส่วนต่างๆทีละนิดไม่ใช่การเร่งรีบในการดัดจึงไม่มีอันตรายหากใช้อุปกรณ์ทางทันตกรรมชนิดนี้ แถมยังส่งผลดีต่อโครงสร้างใบหน้าอีกด้วย


วิธีใช้ EF Line ช่วยแก้ไขอาการนอนกรนทำอย่างไร ?

ในช่วงแรกต้องขอบอกว่าอาจจะไม่เคยชินในการใส่อุปกรณ์ทางทันตกรรม EF Line อาจจะมีการเคืองบ้างเล็กน้อย แต่ในขณะที่กำลังหลับให้พยายามใส่ให้ติดปาก โดยใส่ขณะที่นอนหลับนั้นจะใช้เวลาในการใส่อยู่ที่ 10 ชั่วโมง เพื่อปรับการวางลิ้นและขากรรไกรให้เข้าที่ ท่านก็จะเลิกอาการนอนกรนได้ในเวลาไม่นาน


เผย 6 วิธีลดอาการนอนกรน ?


1.    ควบคุมน้ำหนัก

ต้องขอบอกเลยว่าความอ้วนถือว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักๆ ของการนอนกรน เนื่องจากช่องทางเดินหายใจบริเวณคอถูกบีบให้เล็กลงด้วยชั้นไขมันสะสม รวมถึงไขมันในส่วนของหน้าอกและท้องก็ถือได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ร่างกายต้องทำการหายใจหนักขึ้น


2.    ออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอจะช่วยให้ช่องเนื้อทางเกินหายใจดึงรั้งและมีความแข็งแรงขึ้น เนื้อเยื่อในลำคอจะไม่หย่อนมากในขณะหลับ


3.    จัดท่านอนให้ดี

พยายามนอนตะแคงงอข้อศอกให้ชิดลำคอ เพื่อเป็นการให้ข้างมือยันคางไว้เพื่อเป็นการปิดปากไปในตัว หรือนอนหนุนหมอนข้างไว้เพื่อไม่ให้เกิดการพลิกตัว ก็จะช่วยให้ท่านหายจากการนอนกรนได้


4.    ยกศีรษะให้สูง

หากว่าการนอนตะแคงไม่สามารถทำได้ให้ลองวิธีการนอนหงาย และใช้หมอนใบเล็กๆสอดไว้ใต้ลำคอด้านบน จะช่วยให้ลิ้นไม่หย่อนลงลำคอ การหายใจจะสะดวกขึ้น สามารถลดอาการนอนกรนได้


5.    ทำที่นอนให้สะอาดอยู่เสมอ

ที่ต้องทำที่นอนให้สะอาดส่วนหนึ่งเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงการเกิดโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืด ซึ่งเกิดจากไรฝุ่น โรคเหล่านี้เป็นต้นเหตุสำคัญของการนอนกรนด้วยเช่นกัน


6.    ทำจมูกให้สะอาดก่อนนอน

ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปิดกั้นการหายใจ หรือทำให้หายใจไม่สะดวก คือปัจจัยสำคัญในการนอนกรน ซึ่งในขณะที่กำลังจะนอนให้ทำการทำความสะอาดโพรงจมูกให้สะอาด ก็จะสามารถช่วยไม่ให้นอนกรนได้อีกทางหนึ่ง

ดังที่กล่าวมานั้นการนอนกรนถือว่าอันตรายกับชีวิตของท่านเอง และสร้างความรำคาญให้กับคนรอบข้างอีกด้วย หากว่าใช้ทั้ง 6 วิธีที่กล่าวมาแล้วยังไม่ได้ผล แนะนำปรึกษาทันตแพทย์เพื่อใช้อุปกรณ์ EF Line จะสามารถช่วยท่านได้

15
ตรวจอาการเบื้องต้นด้วยตนเอง: ฝ้า (Melasma/Chloasma)

ฝ้า เป็นโรคผิวหนังที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่ง

พบมากในช่วงอายุ 30-40 ปีขึ้นไป พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายประมาณ 2 เท่า

ฝ้าแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ได้แก่ (1) ฝ้าตื้น (epidermal melasma) เป็นฝ้าที่อยู่ในผิวหนังชั้นนอกหรือหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลเข้ม มีขอบชัด (2) ฝ้าลึก (dermal melasma) เป็นฝ้าที่อยู่ในชั้นลึกหรือหนังแท้ มีลักษณะเป็นรอยสีน้ำตาลอ่อน หรือสีฟ้าอมเทา มีขอบไม่ชัด (3) ฝ้าผสม (mixed melasma) คือมีทั้งฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกัน ซึ่งเป็นชนิดที่พบได้บ่อยที่สุด

สาเหตุ

เกิดจากเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocyte) ในชั้นหนังกำพร้าหรือชั้นหนังแท้ถูกกระตุ้นให้มีการสร้างเม็ดสี (pigment) มากกว่าปกติ เชื่อว่าเป็นผลมาจากปัจจัยหลายอย่างร่วมกัน ที่สำคัญได้แก่

    ฮอร์โมนเพศ พบว่าฝ้ามักเกิดในหญิงขณะตั้งครรภ์ระยะไตรมาสที่ 2 และ 3 หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทนสำหรับหญิงวัยหมดประจำเดือน และผื่นจะจางลงหลังคลอดหรือหยุดยา
    แสงอัลตราไวโอเลต พบว่าผู้ที่ถูกแสงแดดบ่อย ๆ มีโอกาสเป็นฝ้าได้ง่าย
    กรรมพันธุ์ พบว่ามากกว่าร้อยละ 30 ของผู้ป่วยมีประวัติโรคนี้ในครอบครัว
    การใช้ยา อาทิ ยากันชัก (เช่น เฟนิโทอิน, clobazam), ยาขับปัสสาวะ, ยาต้านอักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์, ยาแบบจำเพาะเจาะจงต่อเซลล์มะเร็ง (targeted therapy drugs) เป็นต้น
    ภาวะขาดไทรอยด์
    การแพ้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมของสารให้กลิ่นหอมหรือสี
    ความเครียดทางจิตใจก็อาจกระตุ้นให้ฝ้ากำเริบในผู้ป่วยบางรายได้


อาการ

มีลักษณะเป็นปื้นสีน้ำตาลเข้ม มีขอบชัด หรือปื้นสีน้ำตาลอ่อนหรือฟ้าอมเทา มีขอบไม่ชัด บางรายอาจขึ้นเป็นผื่นเล็ก ๆ คล้ายกระ

ส่วนใหญ่จะมีรอยโรคที่บริเวณใบหน้าส่วนที่ถูกแสงแดดหรือแสงไฟฟลูออเรสเซนต์มาก ๆ ได้แก่ หน้าผาก โหนกแก้ม คาง ดั้งจมูก บริเวณร่องเหนือริมฝีปากบน มักจะเกิดขึ้นทีละน้อยอย่างช้า ๆ โดยมีรอยโรคเหมือน ๆ กันและขนาดที่เท่า ๆ กันขึ้นที่ใบหน้าทั้งฝั่งซ้ายและขวา

บางรายอาจพบที่คอ ไหล่ ต้นแขน และปลายแขนส่วนที่ถูกแสงแดดหรือแสงไฟฟลูออเรสเซนต์ร่วมด้วย


ภาวะแทรกซ้อน

ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง นอกจากทำให้รู้สึกไม่สวยงาม


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และการตรวจร่างกายเป็นหลัก

บางรายแพทย์อาจใช้เครื่องมือที่เรียกว่า Wood's lamp ส่องตรวจดูว่าเป็นฝ้าชนิดตื้นหรือลึก และช่วยแยกออกจากโรคติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา

หากสงสัยว่าเป็นโรคผิวหนังชนิดอื่น ๆ แพทย์จะทำการตัดเนื้อเยื่อผิวหนังไปตรวจทางห้องปฏิบัติการ และหากสงสัยว่าเกิดจากภาวะขาดไทรอยด์ แพทย์จะทำการตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์ในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะตรวจหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุที่พบ แนะนำการปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วย และให้การรักษาฝ้า ดังนี้
 

1. ใช้ยาลอกฝ้า ได้แก่ ไฮโดรควิโนน (hydroquinone) ชนิด 2-4% ทาวันละ 2 ครั้ง จะช่วยลดการสร้างเม็ดสี ทำให้ฝ้าจางลงได้ ยานี้อาจทำให้แพ้ได้ จึงควรทดสอบโดยทาที่แขน แล้วทิ้งไว้ 2-3 วัน (ห้ามล้างออก) ดูว่ามีผื่นแดงหรือไม่ ถ้ามีก็ห้ามใช้

ยานี้อาจผสมกับกรดเรติโนอิก ชนิด 0.01-0.05% และสเตียรอยด์ ทำเป็นครีมยี่ห้อต่าง ๆ

2. ใช้ยากันแดด ได้แก่ พาบา (PABA ซึ่งย่อมาจาก para-aminobenzoic acid) ทาตอนเช้า หรือก่อนออกกลางแดด หรือถูกแสงไฟแรง ๆ ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป ยานี้อาจทำให้แสบตา แสบจมูก เป็นสิว หรือแพ้ได้

โดยทั่วไปมักจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าอาการจะดีขึ้น และจะต้องใช้ยากันแดดไปเรื่อย ๆ เพื่อป้องกันการกลับเป็นฝ้าอีก

บางกรณีแพทย์อาจให้การรักษาด้วยการลอกหน้าด้วยสารเคมี (chemical peeling) เช่น กรดไตรคลอโรอะซีติกชนิด 30% หรือกรดไกลโคลิก (glycolic acid) 50% ซึ่งต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากอาจทำให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผิวหนังเป็นสีดำคล้ำจากการอักเสบ การติดเชื้อ แผลเป็น เป็นต้น

บางรายแพทย์อาจให้การรักษาด้วยแสงเลเซอร์ ซึ่งค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง หลังจากทำแล้วผิวหนังบริเวณนั้นจะบางลง เมื่อถูกแสงแดดก็อาจทำให้เป็นฝ้าขึ้นมาได้อีก

ผลการรักษา โรคนี้มักเป็นเรื้อรัง การรักษาและการหลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้น (เช่น แสงแดด ยาเม็ดคุมกำเนิด ความเครียด) ช่วยให้ฝ้าทุเลาได้ดี แต่เมื่อหยุดยาก็มักกำเริบใหม่ ยกเว้นฝ้าที่เกิดในหญิงขณะตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน หลังคลอดหรือหยุดยา รอยฝ้าจะจางลงจนหายเป็นปกติ

สำหรับฝ้าตื้น (ในชั้นหนังกำพร้า) มักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าลึก (ในชั้นหนังแท้) การใช้ยาอาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเท่าที่ควร


การดูแลตนเอง

ถ้ามั่นใจหรือได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นฝ้า ควรดูแลตนเองดังนี้

    ใช้ยาทาลอกฝ้าตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร
    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่กลางแจ้ง และการอยู่ในที่ที่มีแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สว่างมาก
    ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรใช้เครื่องป้องกัน (เช่น ร่ม หมวก หน้ากาก) ที่สามารถกันแสงอัลตราไวโอเลต ใส่เสื้อสีขาวแทนเสื้อสีเข้ม เพื่อลดการดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลต
    ใช้ยากันแดดทาตอนเช้าหรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิด ถ้าจำเป็นใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น
    หากสงสัยรอยฝ้าเกิดจากเครื่องสำอาง ให้หยุดใช้เครื่องสำอาง
    นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และหาทางผ่อนคลายความเครียด


ควรปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ใช้ยาลอกฝ้า 2-3 สัปดาห์แล้วไม่ทุเลา หรือเป็น ๆ หาย ๆ บ่อย
    ใช้ยาลอกฝ้าแล้วมีอาการผื่นคัน รอยแดง รอยด่าง หรือหน้าขาววอก
    มีอาการหนังตาบวม เส้นผมบางและหักง่าย ผิวหนังหยาบแห้งและเย็น ขี้หนาว เฉื่อยชา คิดช้า หรือสงสัยมีภาวะขาดไทรอยด์
    สงสัยว่ารอยฝ้าเกิดจากการใช้ยาบางชนิด
    มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะดูแลตนเอง

การป้องกัน

    หลีกเลี่ยงการถูกแสงแดดหรืออยู่ในที่กลางแจ้ง และการอยู่ในที่ที่มีแสงไฟฟลูออเรสเซนต์สว่างมาก
    ถ้าจำเป็นต้องออกกลางแดด ควรใช้เครื่องป้องกัน (เช่น ร่ม หมวก หน้ากาก) ที่สามารถกันแสงอัลตราไวโอเลต ใส่เสื้อสีขาวแทนเสื้อสีเข้ม เพื่อลดการดูดกลืนแสงอัลตราไวโอเลต
    ใช้ยากันแดดทาตอนเช้าหรือก่อนออกกลางแดด ควรใช้ชนิดที่มีความสามารถในการกรองแสง (sun protective factor/SPF) มากกว่า 30 ขึ้นไป
    หลีกเลี่ยงการกินยาคุมกำเนิด ถ้าจำเป็นใช้การคุมกำเนิดด้วยวิธีอื่น

ข้อแนะนำ

1. ฝ้าที่เกิดจากการตั้งครรภ์ หรือกินยาคุมกำเนิดหรือฮอร์โมนทดแทน อาจหายได้เองหลังคลอดหรือหลังหยุดใช้ยา อาจใช้เวลาเป็น 2 เท่าของระยะเวลาที่กินยา เช่น ถ้ากินยาอยู่นาน 1 ปี ก็อาจใช้เวลาถึง 2 ปีกว่าฝ้าจะหาย

2. ยารักษาฝ้าบางชนิด อาจมีสารเคมีที่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี (melanocytes) ทำให้หน้าขาววอก หรือเป็นรอยแดงหรือรอยด่างอย่างน่าเกลียด ดังนั้นจึงควรระมัดระวังอย่าซื้อยาลอกฝ้ามาทาเองอย่างส่งเดช โดยเฉพาะอย่างยิ่งยาที่โฆษณาว่าทำให้หายได้ทันที

ยาลอกฝ้าที่เข้าสารปรอท อาจทำให้ฝ้าจางลง แต่อาจมีอันตรายจากการสะสมปรอทที่ผิวหนังและในร่างกายได้

3. ในการรักษาฝ้า อาจต้องใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรืออาจไม่มีทางรักษาให้หายขาด เพียงแต่ใช้ยากันแดดและยาลอกฝ้าทาไปเรื่อย ๆ ถ้าหยุดยาอาจกำเริบได้ใหม่

ฝ้าที่อยู่ตื้น ๆ (สีน้ำตาลหรือน้ำตาลเข้ม) มักจะรักษาได้ผลดี แต่ฝ้าที่อยู่ลึก (สีน้ำตาลเทาหรือสีดำ) อาจได้ผลช้าหรือไม่ได้ผลเลย

4. การลอกหน้า ขัดผิวตามร้านเสริมสวย นอกจากจะไม่ช่วยในการรักษาฝ้าแล้ว ยังอาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อน เช่น การแพ้สัมผัส จึงไม่แนะนำให้ไปลอกหน้า ขัดผิว

5. อาการผื่นหรือปื้นแดง ๆ คล้ำ ๆ ขึ้นที่ใบหน้า นอกจากฝ้าแล้วยังอาจเกิดจากสาเหตุอื่น เช่น เอสแอลแอล ซึ่งจะมีผื่นแดงขึ้นที่แก้ม 2 ข้าง (คล้ายปีกผีเสื้อ) เวลาถูกแดดร่วมกับอาการอื่น ๆ โรคแอดดิสัน ซึ่งผิวหนังจะมีสีดำคล้ำในบริเวณที่มีรอยถูไถตามส่วนต่าง ๆ รวมทั้งที่ใบหน้า เป็นต้น ดังนั้นถ้าให้การรักษาฝ้าไม่ได้ผล หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น ไข้ อ่อนเพลีย เป็นลม ปวดข้อ ผมร่วง เป็นต้น ก็ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุให้แน่ชัด

หน้า: [1] 2 3 ... 32