เข้าสู่ระบบด้วยชื่อผู้ใช้ รหัสผ่าน และระยะเวลาในเซสชั่น

 

ข่าว:

โพสต์ขายของฟรี  ลงโฆษณาสินค้าฟรี  โฆษณาฟรี
ประกาศฟรี  เว็บฟรีไม่จำกัด  ทำ SEO ติด Google



































































































































แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - siritidaphon

หน้า: [1] 2 3 ... 35
1
หมอออนไลน์: ประจำเดือนไม่มา/ประจำเดือนขาด (Amenorrhea)

ประจำเดือนไม่มา หรือประจำเดือนขาด เป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้หญิงทั่วไป

ปกติผู้หญิงจะเริ่มมีประจำเดือนมาครั้งแรกระหว่างอายุ 11-14 ปี ถ้าเลยช่วงอายุนี้ไปแล้ว ยังไม่มีประจำเดือนมา ก็ถือว่าผิดปกติ ในที่นี้ขอเรียกว่า ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา (primary amenorrhea)

ผู้หญิงบางคนเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำ แล้วอยู่ ๆ ก็ไม่มาหรือขาดหายไป ด้วยสาเหตุต่าง ๆ ในที่นี้ขอเรียกว่า ภาวะประจำเดือนขาด (secondary amenorrhea) ซึ่งเป็นอาการที่พบได้บ่อยกว่าภาวะประจำเดือนไม่เคยมา

สาเหตุ

ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา อาจมีสาเหตุเกี่ยวกับความผิดปกติของรังไข่หรือฮอร์โมนในร่างกาย หรืออาจมีความผิดปกติทางโครงสร้าง (กายวิภาค) ของมดลูก หรือช่องคลอด เช่น เยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด ไม่มีมดลูก รังไข่ หรือช่องคลอดมาแต่กำเนิด เป็นต้น

แต่ส่วนมากจะมีสาเหตุจากการเจริญเติบโตเป็นสาว (แตกเนื้อสาว) ช้าโดยธรรมชาติ โดยไม่มีความผิดปกติใด ๆ เกิดขึ้น และมักจะมีประจำเดือนมาก่อนอายุครบ 16 ปี ถ้าเลยจากนี้ไปแล้วก็น่าจะมีสาเหตุที่ผิดปกติต่าง ๆ

ภาวะประจำเดือนขาด ที่พบได้บ่อย ก็คือ การตั้งครรภ์ การฉีดยาคุมกำเนิด หลังคลอดบุตร หรือให้นมบุตร ความเครียดทางจิตใจ เป็นต้น ส่วนน้อยอาจมีสาเหตุจากกลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง เนื้องอกของต่อมใต้สมอง ต่อมหมวกไตหรือรังไข่ การผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ทั้ง 2 ข้าง โรคชีแฮน โรคคุชชิง ตับแข็ง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ภาวะไตวายเรื้อรัง ภาวะโลหิตจาง รูปร่างผอมหรืออ้วนไป ร่างกายอ่อนแอจากการเจ็บป่วยเรื้อรัง เป็นต้น

สาเหตุดังกล่าวได้สรุปไว้ใน ตรวจอาการประจำเดือนขาด/ไม่มา


อาการ

ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา บิดามารดาหรือตัวผู้ป่วยเอง สังเกตว่าประจำเดือนครั้งแรกยังไม่มา ทั้ง ๆ ที่เลยอายุควรจะมีประจำเดือน (อายุเลย 14 ปี)

โดยทั่วไปมักจะไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ นอกจากมีสาเหตุจากความผิดปกติเกี่ยวกับรังไข่หรือฮอร์โมนก็อาจไม่มีการเจริญเติบโตทางเพศ เช่น หน้าอกแฟบเหมือนผู้ชาย ไม่มีขนรักแร้ หรือขนที่อวัยวะเพศ เป็นต้น

ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด (imperforate hymen) ผู้ป่วยมักมีเลือดประจำเดือนออกทุกเดือน แต่จะคั่งอยู่ในช่องคลอดเพราะเยื่อพรหมจรรย์ปิดกั้นไว้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกปวดท้องเป็นประจำทุกเดือน และอาจตรวจพบเยื่อพรหมจรรย์โป่งพองขึ้น เนื่องจากมีก้อนเลือดที่คั่งในช่องคลอดคอยดันเยื่อนี้ให้โป่งออก

ภาวะประจำเดือนขาด ผู้ป่วยซึ่งปกติเคยมีประจำเดือนมาเป็นประจำทุกเดือน อยู่ ๆ ก็ไม่มีประจำเดือนมา ส่วนมากจะไม่มีความผิดปกติอื่น ๆ นอกจากในรายที่เกิดจากการตั้งครรภ์ อาจมีอาการแพ้ท้อง

ในรายที่เกิดจากเนื้องอกของรังไข่ ต่อมหมวกไต หรือต่อมใต้สมอง อาจมีอาการผิดปกติ เช่น ปวดศีรษะเรื้อรัง ตามืดมัวลงเรื่อย ๆ มีหนวดและขนขึ้นผิดธรรมชาติ น้ำนมออกผิดธรรมชาติ เป็นต้น

ในรายที่เป็นโรคชีแฮน ก็อาจมีอาการอ่อนเพลีย เฉื่อยเนือย เต้านมแฟบ ขนรักแร้และขนที่อวัยวะเพศร่วง

ในรายที่เกิดจากโรคกังวลหรือซึมเศร้า ก็มักมีความวิตกกังวล นอนไม่หลับ เบื่อหน่าย ท้อแท้สิ้นหวัง

นอกจากนี้ อาจมีอาการแสดงต่าง ๆ ตามสาเหตุที่พบ เช่น กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ซีด เป็นต้น


ภาวะแทรกซ้อน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือน เช่น การตั้งครรภ์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ภาวะซีด เป็นต้น


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยขั้นต้นจากอาการ และตรวจหาสาเหตุโดยการตรวจภายในช่องคลอด ตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ เอกซเรย์ และอาจต้องทำการตรวจพิเศษอื่น ๆ


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ภาวะประจำเดือนไม่เคยมา ถ้ามีอาการผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย แพทย์จะตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ในรายที่เกิดจากเยื่อพรหมจรรย์ไม่เปิด อาจต้องผ่าตัดเปิดให้มีทางระบายของเลือดประจำเดือน

ในรายที่ร่างกายมีการเจริญเติบโตตามปกติ (เช่น มีการเจริญของเต้านม มีขนรักแร้ และขนอวัยวะเพศขึ้นตามปกติ) และไม่มีอาการปวดท้อง หรืออาการผิดปกติอื่น ๆ อาจรอดูจนอายุเกิน 16 ปี ถ้ายังไม่มีประจำเดือนมา แพทย์ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

2. ภาวะประจำเดือนขาด ถ้ามีความผิดปกติอื่น ๆ ร่วมด้วย หรือสงสัยว่ามีสาเหตุที่ร้ายแรง แพทย์ก็จะทำการตรวจหาสาเหตุ แล้วให้การรักษาตามสาเหตุที่พบ

ถ้าเกิดจากการตั้งครรภ์ หรือโรคกังวลใจ ก็ให้การรักษาตามสาเหตุ

ในรายที่ไม่มีสาเหตุแน่ชัด และร่างกายเป็นปกติดีทุกอย่าง อาจรอดูสัก 3 เดือน ถ้ายังไม่มีประจำเดือนมา แพทย์ก็จะทำการตรวจพิเศษเพิ่มเติม


การดูแลตนเอง

ถ้าอายุเกิน 16 ปี แล้วประจำเดือนยังไม่มา หรือเคยมีประจำเดือน แต่ประจำเดือนขาดหายไป หรือสงสัยมีความผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่ามีความผิดปกติของประจำเดือน ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด

ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา
    ในรายที่จำเป็นต้องกินยาต่อเนื่อง มีการขาดยา ยาหายหรือกินยาไม่ได้
    ในรายที่แพทย์ให้ยากลับไปกินต่อที่บ้าน กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

ขึ้นกับสาเหตุที่ทำให้ประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือน เช่น การตั้งครรภ์ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง โรคคุชชิง ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน ไตวายเรื้อรัง ภาวะซีด เป็นต้น

ข้อแนะนำ

อาการประจำเดือนไม่มาหรือขาดประจำเดือนอาจเกิดจากสาเหตุได้หลากหลาย หากมีอาการผิดปกติเกี่ยวกับประจำเดือน ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุที่พบ (ตรวจอาการประจำเดือนขาด/ไม่มา)

2
โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่น

โรคเบาหวานในเด็กและวัยรุ่นเป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งหากไม่ได้รับการวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้


ประเภทของเบาหวานในเด็ก

เบาหวานชนิดที่ 1 (Type 1 Diabetes): เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุดในเด็กและวัยรุ่น เกิดจากภาวะที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำลายเซลล์ที่สร้างอินซูลินในตับอ่อน ทำให้ร่างกายไม่สามารถผลิตอินซูลินได้เลย ผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดตลอดชีวิต

เบาหวานชนิดที่ 2 (Type 2 Diabetes): พบน้อยกว่าในเด็กแต่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น เกิดจากภาวะที่ร่างกายดื้อต่ออินซูลิน มักพบในเด็กที่มีน้ำหนักเกินหรือเป็นโรคอ้วน และมีประวัติครอบครัวเป็นโรคเบาหวาน


อาการที่ควรสังเกต

อาการของเบาหวานในเด็กมักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและสังเกตได้ชัดเจนกว่าในผู้ใหญ่ โดยมีอาการหลักๆ ดังนี้:

ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ: โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน บางรายอาจกลับมาปัสสาวะรดที่นอนทั้งที่เคยควบคุมได้แล้ว

กระหายน้ำมาก: ดื่มน้ำบ่อยกว่าปกติและรู้สึกคอแห้งอยู่เสมอ

หิวบ่อย กินจุแต่น้ำหนักลด: แม้จะรับประทานอาหารในปริมาณมาก แต่น้ำหนักตัวกลับลดลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

อ่อนเพลีย ไม่มีแรง: รู้สึกเหนื่อยง่ายและขาดสมาธิในการทำกิจกรรมต่างๆ


อาการอื่นๆ ที่อาจพบได้

การมองเห็นผิดปกติ: ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด

แผลหายช้า: มีแผลพุพองหรือติดเชื้อที่ผิวหนังได้ง่าย

มีปื้นดำหนาที่คอ รักแร้ หรือขาหนีบ: โดยเฉพาะในเด็กที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2

หากพบว่าบุตรหลานมีอาการข้างต้น ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาที่เหมาะสมทันที

3
จัดฟันบางนา: อาการต่างๆ ที่สามารถพบได้หลังจากใส่ฟันปลอม

ฟันปลอม ถือว่าเป็นสิ่งประดิษฐ์ทางทันตกรรม เพื่อนำมาใช้ทดแทนฟันจริงตามธรรมชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุดในปัจจุบัน เนื่องจากว่าฟันปลอมในสมัยนี้ถูกออกแบบและสร้างจากวัสดุที่มีความแข็งแรงและไม่ทำลายส่วนต่างๆโดยรอบ ทำให้ผลลัพธ์ที่ได้นั้นออกมาดีเป็นอย่างมาก

โดย ฟันปลอม นั้นถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานทดแทนฟันแท้ตามธรรมชาติ เช่น การบดเคี้ยว กัดฉีกอาหาร ช่วยทำให้การออกเสียงมีความชัดเจน ป้องกันปัญหาต่อเนื่องที่เกิดขึ้นนั่นก็คือฟันโน้มเอียงเนื่องจากเกิดช่องว่างของฟัน อีกทั้งยังช่วยเรื่องความสวยงาม สำหรับผู้ที่สูญเสียฟันแท้ไปแล้วเกิดความไม่มั่นใจในการพูด การยิ้ม หรือการติดต่อประสานงาน ทำให้เกิดปัญหาด้านบุคลิกภาพอย่างมาก ให้กลับมาเป็นตัวของตัวเองอีกครั้ง กล้ายิ้ม กล้าพูดคุย ส่งเสริมบุคลิกภาพให้ดียิ่งขึ้น

ซึ่งในวันนี้จะขอมาตอบคำถามที่หลายๆท่านคาใจ เกี่ยวกับเรื่องของฟันปลอม ไม่ว่าจะเป็นอาการที่อาจจะเกิดขึ้นและวิธีแก้ไข รวมถึงวิธีการดูแลรักษาอย่างถูกต้อง ซึ่งเราจะขอมาไขข้อสงสัยเหล่านี้ไปด้วยกัน โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้


ประเภทของฟันปลอม ?

– ฟันปลอมทั้งปาก

การทำฟันปลอมทั้งปากถือว่าต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร โดยจะใช้กับคนไข้ที่สูญเสียฟันทั้งหมดไป ซึ่งอาจะเกิดจากอุบัติเหตุ โดยทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเลือกวิธีการรักษาเป็นรูปแบบฟันปลอมชั่วคราวและถาวร โดยจะทำการถอนฟันทั้งหมดแล้วจึงใส่ฟันปลอมแบบชั่วคราวทั้งปากทันทีที่ทำการถอนฟัน แต่ในระหว่างที่ใส่ฟันปลอมทั้งปากแบบชั่วคราวทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะนัดปรับฟันปลอมค่อนข้างบ่อย เนื่องจากว่า เหงือกและกระดูกมีการเปลี่ยนรูปร่างค่อนข้างเร็วหลังจากถอนฟันหลายๆซี่ แต่ในบางครั้งทันตแพทย์จะแนะนำให้รอจนกว่าเหงือกและกระดูกจะเข้าที่แล้วใส่ฟันปลอมแบบถาวรครั้งเดียวเลย ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 เดือน

– ฟันปลอมบางส่วน

ฟันปลอมแบบบางส่วนนี้จะใช้ได้กับคนไข้ที่ยังคงมีฟันกรามบนหรือล่างหลงเหลืออยู่อย่างน้อย 1 ซี่ ซึ่งจะมีหน้าที่ในการใช้เติมเต็มช่องว่างของฟัน เพื่อไม่ให้เกิดการเคลื่อนที่ผิดรูปของฟันที่เหลือ โดยคนไข้สามารถถอดออกมาเองได้ด้วยการปลดตะขอ ทำให้สามารถทำความสะอาดได้ง่าย

โดยฟันปลอมแบบบางส่วนนั้นฐานล่างมักจะผลิตจากโลหะ เพื่อความคงทนและแข็งแรง แต่ถ้าหากว่าเป็นฟันปลอมแบบชั่วคราว เพื่อใช้ทดแทนฟันที่หลุดไปชั่วคราว เพื่อรอให้เหงือกและกระดูกฟื้นตัว มักนิยมผลิตจากพลาสติก


อาการที่สามารถพบได้หลังจากใส่ฟันปลอม ?

โดยทั่วไปแล้วการใส่ฟันปลอมในระยะแรกๆนั้น จะมีปัญหามากๆเรื่องการบดเคี้ยวกัดฉีกอาหาร ซึ่งจะมีความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ โดยอาการเหล่านี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงแรกๆเท่านั้น ต้องรอจนกว่ากล้ามเนื้อบริเวณกระพุ้งแก้มและลิ้นจะปรับตัวให้เคยชินกับฟันปลอมเสียก่อน ในช่วงที่ใส่ฟันปลอมใหม่ๆ ทันตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกท่านมักแนะนำว่าให้รับประทานอาหารที่มีความนุ่มอ่อน เพื่อให้เกิดการปรับตัวเสียก่อน

ส่วนเรื่องการพูดนั้นอาจจะมีปัญหานิดหน่อยในเบื้องต้น แต่ไม่ใช่เป็นเป็นหาในระยะยาว และบางท่านอาจประสบปัญหาขั้นพื้นฐาน เช่น อาการระคายเคือง อาการปวด หรือการมีน้ำลายออกมามากกว่าปกติ เป็นต้น ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดขึ้นในระยะแรกของการใส่ฟันปลอมใหม่ๆ ซึ่งเป็นอาการที่ไม่น่าเป็นห่วงอะไร และจะค่อยๆลดลงและหายไปในที่สุดเมื่อช่องปากสามารถปรับตัวให้เข้ากับฟันปลอมได้นั่นเอง


ฟันปลอมอยู่ได้นานเท่าไหร่ ?

โดยทั่วไปแล้วหากว่าดูแลรักษาเป็นอย่างดี ฟันปลอมสามารถอยู่ได้นานถึงประมาณ 15 ปี  แต่ถึงอย่างไรก็ต้องขึ้นอยู่กับภาวะการหดตัวของเหงือกและกระดูกตามธรรมชาติด้วย รวมถึงหากว่าเรามีอายุที่เพิ่มมากขึ้นช่องปากก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามธรรมชาติ ซึ่งการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้อาจจะส่งผลทำให้ฟันปลอมหลวม ส่งผลให้การบดเคี้ยวอาหารมีความยากลำบาก และอาจเกิดอาการระคายเคืองเหงือกตามมา

จึงอาจจำเป็นที่จะต้องเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการปรับ ทำใหม่ หรืออาจจะต้องทำการเปลี่ยนฐาน ตามแต่ที่ทันตแพทย์จะวิเคราะห์และเห็นสมควร ซึ่งการพบทันตแพทย์เป็นประจำอย่างน้อยทุก 6 เดือน จึงยังถือว่ามีความจำเป็นอย่างมากถึงแม้ว่าท่านจะใส่ฟันปลอมทั้งปากก็ตาม

4
ที่เที่ยวไทย ในกรุงเทพ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ขอพรเจ้าแม่หม่าโจ้ว

หากคุณต้องการไปขอพรเจ้าแม่หม่าโจ้วริมแม่น้ำเจ้าพระยา สถานที่ที่คุณมองหาคือ ล้ง 1919 (Lhong 1919) ค่ะ

ล้ง 1919 เป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมไทย-จีนริมแม่น้ำเจ้าพระยาฝั่งคลองสาน ซึ่งเดิมเคยเป็นท่าเรือกลไฟและโกดังสินค้าเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และภายในยังมี ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว ที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถือในฐานะเทพผู้คุ้มครองการเดินเรือและประทานพรด้านการค้าขายให้เจริญรุ่งเรือง


จุดเด่นของที่นี่คือ

สถาปัตยกรรมจีนโบราณ: อาคารไม้เก่าแก่ที่ได้รับการบูรณะอย่างสวยงาม ทำให้เหมาะกับการถ่ายรูปเป็นอย่างยิ่ง

ศาลเจ้าแม่หม่าโจ้ว 3 ปาง: ที่นี่มีองค์เจ้าแม่หม่าโจ้ว 3 ปาง ซึ่งแต่ละปางจะประทานพรที่แตกต่างกัน ทั้งด้านความรัก การเดินทาง การงาน การเงิน และสุขภาพ

บรรยากาศริมน้ำ: คุณสามารถเดินเล่นชมวิวแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างสบายๆ และยังมีร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ให้ได้นั่งพักผ่อนอีกด้วย


ข้อมูลเพิ่มเติม:

ที่ตั้ง: 248 ถนนเชียงใหม่ แขวงคลองสาน เขตคลองสาน กรุงเทพฯ

เวลาทำการ:

วันจันทร์ - วันพฤหัสบดี: 08:00 - 18:00 น.

วันศุกร์ - วันอาทิตย์: 08:00 - 22:00 น.

5
สร้างรายได้ จากการขายเมนูยำมะเขือย่าง หอมมะเขือเผา กุ้งหวานเด้งรสชาติจัดจ้าน ดีต่อสุขภาพ

อาหารไทยขึ้นชื่อในเรื่องรสชาติที่จัดจ้าน วัตถุดิบสดใหม่และรสชาติที่สมดุลลงตัวของรสเผ็ด เปรี้ยว หวานและเค็ม หนึ่งในเมนูที่สะท้อนถึงความกลมกล่อมนี้ได้คือยำมะเขือยาวย่างกับไข่ลวกและกุ้งลวก มีรสชาติเบาๆดีต่อสุขภาพและอัดแน่นไปด้วยกลิ่นควัน เปรี้ยวและเผ็ดร้อน ยำมะเขือย่างมีประโยชน์ต่อสุขภาพ มีส่วนผสมหลักคือ มะเขือยาว ไข่ต้มและกุ้งลวก นำมาคลุกเคล้ากับน้ำยำรสจัดจ้าน

ทำไมคุณถึงจะรักอาหารจานนี้
ดีต่อสุขภาพและมีคุณค่าทางโภชนาการ : มะเขือยาวอุดมไปด้วยไฟเบอร์และสารต้านอนุมูลอิสระ ไข่ให้โปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพ และกุ้งเป็นแหล่งโปรตีนที่ไม่ติดมัน
สมดุลอันแสนอร่อย : การผสมผสานระหว่างมะเขือยาวเผารมควัน ไข่ลวก และกุ้งฉ่ำน้ำ สร้างเนื้อสัมผัสที่น่าพึงพอใจ
ทำง่าย : เพียงแค่ใช้ส่วนผสมสดใหม่ไม่กี่อย่างและขั้นตอนง่ายๆ คุณก็สามารถทำอาหารไทยยอดนิยมนี้ที่บ้านได้

วัตถุดิบ
เพื่อเสิร์ฟ 2-3 ท่าน คุณจะต้องมี:
มะเขือยาว 2 ลูกใหญ่(พันธุ์เอเชียหรืออิตาลี)
ไข่ต้ม 2 ฟอง(ลวกสุกหรือลวกนิ่มตามชอบ)
กุ้ง 8-10 ตัว ปอกเปลือกและล้างไส้ออก
หอมแดง 1 หัว หั่นบาง ๆ
พริกแดงสับละเอียด1-2 เม็ด
กระเทียมสับ 2 กลีบ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ(หรือซีอิ๊วขาวสำหรับมังสวิรัติ)
น้ำตาลปาล์ม 1 ช้อนชา(หรือน้ำผึ้ง)
ผักชีสับ 1 ช้อนโต๊ะ
ต้นหอมซอย 1 ช้อนโต๊ะ
คำแนะนำ

1.ย่างมะเขือยาว
ย่างมะเขือยาวทั้งลูกบนเปลวไฟเปิด ย่างหรืออบในเตาอบโดยใช้ไฟแรงจนผิวเป็นสีดำและด้านในนุ่ม
ปล่อยให้เย็นลงเล็กน้อย จากนั้นลอกเปลือกที่ไหม้ออก หั่นเป็นชิ้นพอดีคำแล้วพักไว้

2. ต้มไข่
ต้มไข่ให้สุกตามที่ต้องการ (8 นาทีสำหรับไข่ลวกสุกปานกลาง หรือ 10-12 นาทีสำหรับไข่ลวกสุก)
ปอกเปลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นครึ่ง

3. ลวกกุ้ง
ต้มน้ำในหม้อแล้วใส่กุ้งลงไป ปรุงประมาณ 2 นาทีจนกุ้งเปลี่ยนเป็นสีชมพูและขุ่น
ถอดออกแล้วพักไว้

4. ทำน้ำสลัด
ในชามผสมน้ำมะนาว น้ำปลา น้ำตาลมะพร้าว พริกสับ กระเทียม และหอมแดง คนจนน้ำตาลละลาย

5. ประกอบสลัด
จัดวางมะเขือยาวเผา กุ้ง และไข่ลงบนจาน
ราดน้ำสลัดลงบนสลัดแล้วคลุกเบาๆ
ตกแต่งด้วยผักชีซอยและต้นหอม

คำแนะนำการเสิร์ฟ
เสิร์ฟสลัดนี้เปล่าๆ เป็นอาหารจานเบาๆ หรือทานกับข้าวหอมมะลินึ่งเพื่อให้อิ่มท้องยิ่งขึ้น
จับคู่กับอาหารไทยอื่น ๆ เช่นต้มยำหรือส้มตำเพื่อมื้ออาหารสไตล์ไทยที่สมบูรณ์

สลัดมะเขือยาวย่างกับไข่ลวกและกุ้งลวกเป็นเมนูที่เหมาะสำหรับผู้ที่ชื่นชอบรสชาติที่สดชื่น เข้มข้น และมีกลิ่นควัน สลัดนี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ทำง่าย และเป็นวิธีที่ยอดเยี่ยมในการเพลิดเพลินกับอาหารไทยแท้ๆ ที่บ้าน ลองทำวันนี้และสัมผัสกับรสชาติอันแสนอร่อยของประเทศไทย


6
หมอออนไลน์: โรคขาดวิตามินเอ/เกล็ดกระดี่ขึ้นตา (Vitamin A deficiency)

โรคขาดวิตามินเอ ยังพบได้ในท้องที่ชนบทบางแห่ง (พบบ่อยทางภาคอีสาน) และในเด็กที่ยากจน

ภาวะขาดวิตามินเอ ทำให้ประสาทตาส่วนที่เรียกว่าจอตา หรือเรตินา (retina) เสื่อม ทำให้เยื่อบุตาแห้งและต่อมน้ำตาไม่ทำงาน จึงอาจทำให้เด็กที่เป็นโรคนี้ตาบอดได้ ดังที่ชาวบ้านรู้จักกันดีว่าเป็น โรคเกล็ดกระดี่ขึ้นตา

สาเหตุ

มักจะพบในเด็กวัยแรกเกิดถึงอายุ 5 ปี เกิดจากการกินอาหารที่มีวิตามินเอน้อยไป เช่น กินแต่นมข้นหวาน กล้วยบดและข้าว โดยไม่ได้อาหารเสริมอื่น ๆ โรคนี้มักจะพบร่วมกันไปกับโรคขาดอาหาร บางรายอาจเป็นหลังจากเป็นโรคติดเชื้อ (เช่น หัด ปอดอักเสบ) หรือท้องเดินเรื้อรัง

ในผู้ใหญ่พบได้น้อย ถ้าพบมักมีสาเหตุจากโรคอื่น ๆ เช่น โรคตับเรื้อรัง โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น มีผลทำให้การดูดซึมวิตามินเอน้อยลง

อาการ

เริ่มแรกจะมีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ (แต่มองเห็นเป็นปกติในเวลากลางวัน และในที่สว่าง ๆ) เนื่องจากจอตาเริ่มเสื่อม ต่อมาเยื่อตาขาวแห้ง เมื่อเป็นมากขึ้นเยื่อตาขาวจะย่นอยู่รอบ ๆ กระจกตาดำดูคล้ายเกล็ดปลา และกระจกตาดำซึ่งปกติสะท้อนแสงวาววับ จะแห้งและไม่มีประกาย ตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีเทาหรือสีเงิน เห็นเป็นจุดใหญ่ทางด้านหางตา เรียกว่า จุดบิทอตส์ (Bitot’s spot) หรือเกล็ดกระดี่ อาจเป็นที่ตาทั้ง 2 ข้าง ถ้ารักษาในระยะนี้จะแก้ได้ทัน

ในเด็กเล็กมักตรวจพบเมื่อมีการอ่อนตัวของกระจกตาดำแล้ว จะพบหนังตาบวม ปิดตาแน่น ไม่ยอมลืมตา


ภาวะแทรกซ้อน

ถ้าปล่อยทิ้งไว้กระจกตาจะเกิดการอ่อนตัว เป็นแผล และเกิดรูทะลุ มีเชื้อโรคเข้าไปในลูกตา ทำให้เกิดการอักเสบภายในลูกตา ตาบอดได้ นอกจากนี้ เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอหากเป็นหัด อาจกลายเป็นโรคหัดชนิดรุนแรงได้


การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการและสิ่งตรวจพบ ดังนี้

เยื่อตาขาวรอบ ๆ กระจกตาดำเป็นรอยย่น กระจกตาดำขุ่นมัวไม่สะท้อนแสงและเกล็ดกระดี่ตรงด้านหางตา

ถ้าจำเป็น แพทย์จะทำการตรวจระดับวิตามินเอในเลือด


การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. เมื่อเริ่มมีอาการตาบอดกลางคืน หรือเริ่มมีเกล็ดกระดี่ขึ้นตา แพทย์จะให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือหากจำเป็นอาจใช้วิตามินเอชนิดฉีด

2. ถ้ามีการติดเชื้ออักเสบ แพทย์จะรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ให้กินวิตามินเอชนิดแคปซูล หรือฉีดวิตามินเอ ร่วมกับให้กินยาปฏิชีวนะ เช่น อะม็อกซีซิลลิน อีริโทรไมซิน ถ้าเด็กปิดตาแน่น อย่าพยายามเปิดตาเด็ก เพราะอาจทำให้กระจกตาดำแตกทะลุได้


การดูแลตนเอง

หากสงสัย เช่น มีอาการตาฟางหรือมองไม่เห็นเฉพาะตอนกลางคืนหรือในที่มืด ๆ  ควรปรึกษาแพทย์

เมื่อตรวจพบว่าเป็นโรคขาดวิตามินเอ ควรดูแลตนเอง ดังนี้

    รักษา กินยา และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ 
    ติดตามรักษากับแพทย์ตามนัด


ควรกลับไปพบแพทย์ก่อนนัด ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้

    ดูแลรักษาแล้วอาการไม่ทุเลา 
    ขาดยาหรือยาหาย
    กินยาแล้วสงสัยเกิดผลข้างเคียงจากยา เช่น มีลมพิษ ผื่นคัน ตุ่มพุพอง ตาบวม ปากบวม ปวดท้อง ท้องเดิน คลื่นไส้ อาเจียน จุดแดงจ้ำเขียว หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ


การป้องกัน

โรคนี้เป็นแล้วทำให้ตาบอดได้ แต่เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการกินอาหารที่มีวิตามินเอสูง เช่น เนื้อ ตับ ไข่ นม ฟักทอง มะเขือเทศ มะละกอสุก ผักใบเขียว (ผักบุ้ง ใบตำลึง ใบมันสำปะหลัง) พริกที่เผ็ด ๆ จึงควรแนะนำให้เด็ก ๆ กินอาหารเหล่านี้ให้มากเป็นประจำ

ถ้าไม่แน่ใจว่าเด็กจะได้รับอาหารที่มีวิตามินเอเพียงพอ อาจให้กินวิตามินเอเสริม


ข้อแนะนำ

เด็กที่มีภาวะขาดวิตามินเอ เมื่อเป็นหัด ควรปรึกษาแพทย์ เพื่อพิจารณาให้วิตามินเอเสริม ซึ่งจะช่วยลดความพิการและการเสียชีวิตลงได้

7
บอกต่อ รถขนของไปต่างจังหวัด รถรับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรี สนใจสอบถามได้

รถรับจ้างจังหวัดนนทบุรี ของขนส่ง ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ให้บริการเรื่องรถรับจ้าง ที่บริการด้วยงานคุณภาพของแท้ ไม่หลอกลวง สำหรับรถรับจ้างทุกคันของที่นี้ ก็มีหลากหลายประเภท แตกต่างกันไป อย่างเช่น รถกระบะรับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถ4ล้อใหญ่รับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถ 6 ล้อรับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถ10ล้อรับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถเฮี๊ยบรับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถพ่วงรับจ้างจังหวัดนนทบุรี รถขนของจังหวัดนนทบุรี รถรับจ้างขนย้ายบ้านจังหวัดนนทบุรี

และรถประเภทอื่นๆ อีกมากมาย บริการรถรับจ้าง จังหวัดนนทบุรี ไม่ได้มีให้บริการเฉพาะเขตพื้นที่นนทบุรีเพียงเท่านั้น เพราะเราบริการงานรถขนของที่ครอบคลุม แต่ยังมี บริการขนย้ายของนนทบุรี ไปที่จังหวัดต่างๆ หรือในเขตพื้นที่ๆอยู่บริเวณใกล้เคียงจังหวัดนนทบุรีไม่ว่าระยะทาง จะไกลหรือใกล้เราไม่หวั่น และพร้อมที่จะให้บริการอย่างเต็มที่

รถรับจ้างนนทบุรี ก็มีบริการ ไม่ใช่แค่บริการเรื่องรถรับจ้างเพียงอย่างเดียว ยังมีทีมงานยกของคุณภาพดี ที่รับรองว่าคุ้มค่าอย่างแน่นอน เรามีประสบการณ์ในเรื่องการขนย้ายต่างๆ เยอะแยะมากมากยกตัวอย่างเช่น รับจ้างขนของย้ายบ้าน ขนของย้ายห้องพักนักศึกษา ขนย้ายอุปกรณ์สำนักงานต่างๆ ขนย้ายสินค้าต่างๆ ย้ายเครื่องจักร ย้ายคอนโด ย้ายเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้นค่ะหากพูดถึงในเรื่องของการขนย้ายนั้น สำหรับหลายคนก็คงไม่มีความชำนาญในเรื่องการโยกย้ายของมากนักนั่นเป็นเรื่อง

จริงอย่างปฏิเสธไม่ได้ เราจึงอยากได้บริการ รถรับจ้างขนของ ที่ครบครัน รถรับจ้างพร้อมทีมงานยกคุณภาพดีและพูดจาดี พูดจาไพเราะ สุภาพมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี  มีหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่งกายสุภาพ เรียบร้อย ลูกค้าคือคนสำคัยของเรา ถ้าอยากจะทราบเรื่องรายละเอียด ก็สามารถโทรมาสอบถามเรื่องราคาค่าขนส่ง กับพนักงานหรือทักไลน์ไปสอบถามก็ได้เหมือนกันนะค่ะ รถขนของจังหวัดนนทบุรี ของเรา บริการดุญาติมิตร ยินดีให้บริการลูกค้าเสมอค่ะ รับจ้างขนของจังหวัดนนทบุรี

เขตพื้นที่งานบริการอยู่ในขณะนี้ ได้แก่

    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ เมืองนนทบุรี
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ ไทรน้อย
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ บางกรวย
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ บางบังทอง
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอบางใหญ่
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ ปากเกร็ด
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ งามวงศ์วาน
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ  ม.เกษตร
    รถขนของ รับจ้างขนของอำเภอ หลักสี่
    รถขนของ รับจ้างขนของถนน 345

แนะนำสถานที่เที่ยวในจังหวัดนนทบุรี มีที่ไหนบ้าง

1.สุเหร่าแดง หรือมัสยิดดารุ้ลอาบีดีน

2.ตลาดน้ำประชารัฐสวนบัว

3.สวนสมเด็จพระศรีนครินทร์

4.พิพิธภัณฑ์บ้านดุริยางคศิลปิน มนตรี ตราโมท

5.วัดบางจาก

หาสถานที่สวยๆลองแวะมาเที่ยวจังหวัดนนทบุรีกันเยอะๆนะคะ รถขนของนนทบุรี ขอบคุณมากนะคะ

8
เตรียมพร้อมที่จะขนของด้วยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพ บริการรถรับจ้างขนย้ายบ้าน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการขนของนั้นเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญและรองรับอย่างเหมาะสม เชื่อมั่นได้ว่าการเลือกใช้ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี ในการขนสินค้าและวัตถุดิบของคุณนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมันไม่เพียงแค่เรื่องของการจัดส่งและความถูกต้องของสินค้า แต่ยังเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยและความเชื่อมั่นในการบริการด้วย

ทีมคนขับ รถรับจ้างขนย้ายสระบุรี นี้มีความพร้อมและเต็มใจที่จะรับผิดชอบในการขนสินค้าของท่านอย่างมืออาชีพและรอบคอบ เราเข้าใจถึงความสำคัญของการให้บริการที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในวงการ ทีมของเรามุ่งมั่นที่จะให้บริการที่ดียิ่งขึ้นทุกวันรถรับจ้างขนย้ายต้นไม้

การเตรียมพร้อมที่จะขนของด้วยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพเป็นส่วนสำคัญของบริการรถรับจ้างในสระบุรีที่มีความเชื่อถือได้ ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความรู้ความสามารถที่พร้อมที่จะทำงานในสถานการณ์ต่างๆ และมีความเข้าใจในการดำเนินงานในวงการขนสินค้าอย่างถูกต้องและมืออาชีพ

การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าอย่างแม่นยำและรวดเร็วเป็นสิ่งที่เราให้ความสำคัญอย่างมาก ดังนั้น เมื่อคุณเลือกใช้บริการรถรับจ้างของเรา คุณสามารถมั่นใจได้ว่าสินค้าของคุณจะถูกดูแลอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบ โดยทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพของเราจะทำให้ทุกการขนส่งเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยในทุกสถานการณ์

ด้วยความคล่องตัวและการปฏิบัติงานอย่างมืออาชีพ เราพร้อมที่จะทำให้ประสบการณ์การขนสินค้าของคุณเป็นเรื่องที่สะดวกสบายและประทับใจ ขอเชิญคุณมาร่วมทางเลือกเราและพบกับบริการรถรับจ้างขนสินค้า ที่มีคุณภาพที่สูงจากทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพของเรา

การบริการรถรับจ้างในสระบุรีที่มีทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพจะมีลักษณะเด่นที่สำคัญคือ

    ความชำนาญและประสบการณ์ : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีประสบการณ์และความชำนาญในการขนสินค้าที่หลากหลายประเภท เช่น สินค้าที่ต้องการการจัดการพิเศษหรือสินค้าที่ต้องการการจัดส่งทันเวลา
    ความเชี่ยวชาญในการจัดการสินค้า : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมีความเข้าใจในการจัดการสินค้าอย่างเชี่ยวชาญ เช่น การบรรทุกและการจัดส่งสินค้าโดยใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีที่เหมาะสม
    ความปลอดภัย : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของสินค้าที่ขนส่ง และมีความระมัดระวังในการขนสินค้าอย่างมีระเบียบและปลอดภัยตลอดการขนส่ง
    ความน่าเชื่อถือ : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความสามารถในการทำงานร่วมกับลูกค้าอย่างมืออาชีพ และให้บริการที่มีคุณภาพและความพึงพอใจต่อลูกค้า
    ความยืดหยุ่น : ทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพมักมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวตามความต้องการของลูกค้า และสามารถให้บริการในระยะเวลาที่ต้องการ

ดังนั้น การเลือกบริการรถรับจ้างที่มีทีมคนขับรถรับจ้างมืออาชีพที่พร้อมที่จะขนสินค้าของคุณ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญในการตัดสินใจเลือกบริการขนส่งสินค้าในสระบุรีและพื้นที่ใกล้เคียงรถรับจ้างขนของราคาถูก

การสื่อสารที่ดีของคนขับมีข้อดีอย่างไร

การสื่อสารที่ดีของคนขับรถมีข้อดีมากมายทั้งต่อลูกค้าและตนเอง

    ความเข้าใจที่ดีขึ้น : การสื่อสารที่ดีช่วยให้คนขับรถเข้าใจความต้องการและความประสงค์ของลูกค้าอย่างลึกซึ้งมากขึ้น ซึ่งสามารถช่วยปรับการบริการให้เหมาะสมและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
    การบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น : ความเข้าใจระหว่างคนขับรถและลูกค้าช่วยให้เป้าหมายในการขนส่งสินค้าหรือบริการสามารถบรรลุได้โดยสะดวกและตรงใจกัน
    สร้างความไว้วางใจ : การสื่อสารที่ดีช่วยสร้างความไว้วางใจระหว่างลูกค้าและคนขับรถ ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนและรักษาลูกค้า
    การแก้ไขปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ : การสื่อสารที่ดีช่วยในการรับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้นในขณะขนส่งและทำให้สามารถแก้ไขปัญหาได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
    ความพอใจของลูกค้า : การสื่อสารที่ดีช่วยให้ลูกค้ารู้สึกถูกใจและพอใจกับการบริการของคนขับรถ ซึ่งส่งผลให้ลูกค้ากลับมาใช้บริการอีกครั้งและแนะนำบริการต่อไป
    การลดข้อผิดพลาด : การสื่อสารที่ชัดเจนช่วยลดโอกาสในการเกิดความเข้าใจผิดพลาดหรือการทำงานที่ไม่ถูกต้องในการขนส่งสินค้า
    การสร้างภาพลักษณ์ที่ดี : ความสามารถในการสื่อสารที่ดีช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับบริการขนส่งและบริษัทอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

สรุปได้ว่า การสื่อสารที่ดีของคนขับรถเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความพึงพอใจและความเชื่อมั่นให้กับบริการขนส่งโดยรวม

คุณกำลังมองหาบริการรถรับจ้างที่น่าเชื่อถือในสระบุรีใช่ไหม? เราขอแนะนำ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี เป็นเพื่อนที่ไว้ใจได้เมื่อต้องการขนส่งสินค้าหรือวัตถุดิบที่คุณสำคัญอย่างทันที!

ทีมของเราพร้อมจะเสนอบริการรถรับจ้างที่มีคุณภาพและเป็นไปตามความต้องการของคุณ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่งสินค้าเพื่อธุรกิจหรือเการขนย้ายที่อยู่ บ้าน หอ คอนโด ขนย้ายเครื่องจักร บริการรถรับจ้างทั่วไป ทุกๆ งานขนส่งที่เราทำนั้นเราให้ความสำคัญและความสนใจในทุกขั้นตอนของการบริการรับจ้างขนของ

เรามีทีมคนขับรถรับจ้างที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สามารถดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ด้วยรถขนาดใหญ่และอุปกรณ์การขนส่งที่ทันสมัย เรามั่นใจว่าสินค้าของคุณจะถึงที่หมายตรงตามเวลาที่กำหนด

เมื่อเลือกใช้ บริการรถรับจ้างขนย้ายสระบุรี ของเรา คุณจะได้รับการบริการที่ดีที่สุดในราคาที่เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นความปลอดภัยในการขนส่งหรือความพอใจในการให้บริการ เราจะไม่ทำให้คุณผิดหวัง!

ติดต่อเราเพื่อขอใบเสนอราคาหรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ทีมของเราพร้อมให้บริการคุณทุกขั้นตอนของการขนส่ง มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การขนส่งที่ปลอดภัยและประทับใจกับเราได้แล้ววันนี้

9
โรคเหงือกในเด็ก สามารถเข้ารับการจัดฟันเด็กได้หรือไม่

ปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟันในเด็กนั้น มักจะพบได้บ่อย ซึ่งการดูแลรักษาความสะอาดของฟันถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะให้ความสำคัญ โดยเฉพาะเด็กในวัยที่ยังมีฟันน้ำนมอยู่ อย่าคิดว่าไม่สำคัญ เพราะฟันน้ำนมส่งผลกระทบต่อการขึ้นของฟันแท้ ดังนั้น การดูแลช่องปากของเด็กๆ ควรที่จะได้รับการดูแลอย่างถูกวิธี



ซึ่งปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันของเด็กที่มักพบได้บ่อยส่วนใหญ่ก็คือ เรื่องของฟันน้ำนมผุ มักจะเกิดขึ้นเมื่อฟันน้ำนมสัมผัสกับน้ำตาลจากการดื่มบ่อยครั้งเช่น ดื่มนม น้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มรสหวานอื่นๆ ก็จะทำให้เสี่ยงกับการเกิดฟันผุ เชื้อแบคทีเรียในปากจะกินน้ำตาลเป็นอาหาร ทำให้เกิดฟันผุหากปล่อยไว้ไม่ได้รับการรักษา ยิ่งถ้าหากพ่อแม่ผู้ปกครองละเลยในเรื่องของฟันของลูก ก็จะทำให้เกิดปัญหาได้ในระยะยาว โดนอาการฟันผุอาจจะเป็นสาเหตุให้เกิดอาการปวด และทำให้เคี้ยวอาหารได้ลำบาก

หากฟันน้ำนมได้รับความเสียหาย หรือถูกทำลายก็จะไม่สามารถกำหนดทิศทางสำหรับฟันแท้ให้ขึ้นได้อย่างถูกตำแหน่ง อาจก่อนให้เกิดฟันซ้อน หรือฟันเก ฟันน้ำนมที่ผุอย่างรุนแรงอาจจะนำไปสู่การฟันที่เป็นหนองได้ และอาจจะนำไปสู่การเกิดโรคเหงือกอักเสบในเด็ก ซึ่งโรคเหงือกในเด็กนั้น ก็สามารถเกิดขึ้นได้ เป็นการอักเสบของเยื่อเหงือกซึ่งเกิดจากการดูแลความสะอาดในปากที่ไม่เพียงพอ และการจับตัวของหินปูน สัญญาณเตือนของโรคเหงือกอาจจะเป็นกลิ่นปาก หรือเลือดออกที่เหงือก

โดยเฉพาะหลังจากการใช้ไหมขัดฟัน เมื่อเวลาผ่านไปก็สามารถนำไปสู่ฟันหลอ และกระดูกเสียหายของกระดูก การพบทันตแพทย์เป็นประจำเป็นสิ่งสำคัญในการป้องกันโรคเหงือกอักเสบ ดังนั้น พ่อแม่ผู้ปกครองควรที่จะพาบุตรหลานของท่านเข้าพบทันตแพทย์เพื่อทำการตรวจฟันเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง

พ่อแม่ผู้ปกครองหลายคนที่อยากจะพาบุตรหลานของท่านเข้ารับกรจัดฟัน ก็อาจจะเกิดความสงสัยว่า ถ้าหากบุตรหลานของท่านมีปัญหาเกี่ยวกับโรคเหงือกอักเสบแล้ว จะสามารถเข้ารับการจัดฟันในเด็กได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้ทางคลินิกเราจะมาพูดถึงประเด็นของการเกิดโรคเหงือกอักเสบในเด็ก และอยากที่จะเข้ารับการรักษาด้วยการจัดฟัน ว่าจะสามารถทำได้หรือไม่ สำหรับโรคเหงือกอักเสบในเด็กนั้น ต้องบอกว่า สามารถรักษาให้หายได้

เพียงหมั่นดูแลช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ และพ่อแม่ควรจะสังเกตอาการต่างๆของบุตรหลานด้วย ถ้าหากพบว่ามีสัญญาณของการเกิดปัญหาฟัน หรือมีการสะสมตัวของคราบแบคทีเรียที่มากและแข็งจนกลายเป็นหินปูน ก็ควรพาลูกไปพบทันตแพทย์เพื่อให้ทำการขจัดออกคราบเหล่านั้นออก

ซึ่งการดูแลเพื่อป้องกันโรคเหงือกสามารถทำได้โดยหมั่นดูแลสุขภาพช่องปากของลูกน้อยเป็นประจำ พ่อแม่ผู้ปกครองควรเป็นผู้ช่วยในการช่วยแปรงฟันให้ลูก เพื่อให้บริเวณนั้นๆ สะอาด ขจัดคราบฟันออกให้หมด ซึ่งจะช่วยป้องกัน และบรรเทาอาการที่เกิดขึ้นได้ เพียงเท่านี้ก็จะสามารถป้องกันการเกิดโรคเหงือกได้

ทั้งนี้ ในเรื่องของการจัดฟันในเด็ก สำหรับเด็กที่มีปัญหาในเรื่องของเหงือกอักเสบ เบื้องต้นทันตแพทย์จะทำการรักษาโรคเหงือกอักเสบในเด็กให้หายดีเสียก่อน เพื่อที่จะได้มีปัญหาระหว่างการจัดฟัน และจะทำให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเมื่อเข้ารับการจัดฟันแล้ว เด็กๆควรที่จะปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของทันตแพทย์ เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้น ป้องกันฟันผุ

หากบุตรหลานของท่านมีสัญญาณเตือนในเรื่องของการเกิดโรคเหงือกหรือปัญหาในเรื่องของสุขภาพช่องปากและฟัน สามารถปรึกษาทันตแพทย์ที่คลินิกได้ ทางเรามีทันตแพทย์ที่มีความเชี่ยวชาญในด้านการจัดฟันในเด็กที่จะให้คำแนะนำอย่างถูกต้อง เพื่อที่จะช่วยดูแลสุขภาพช่องปากและฟันของบุตรหลานของท่านให้มีฟันที่สวยงาม เพราะเราอยากให้ทุกคนมีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดี ป้องกันการเกิดปัญหาฟันผุ และยังช่วยแนะนำวิธีการรักษาความสะอาดของช่องปากและฟันได้อย่างถูกต้อง เพื่อที่จะได้มีสุขภาพช่องปากและฟันที่ดีขึ้นได้

10
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเสียงดัง
ในโรงงานอุตสาหกรรม
โรงงานหรือสถานประกอบกิจการที่มีปัญหาด้านเสียงเกินค่ามาตรฐาน อาจสร้างผลกระทบทั้งด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงานต่อพนักงานในโรงงานเอง หรืออาจก่อให้เกิดมลพิษทางเสียงต่อชุมชนและสภาพแวดล้อมที่อยู่ด้านนอกโรงงาน หากเจ้าของแหล่งกำเนิดเสียงหรือผู้เกี่ยวข้องปล่อยปละละเลย ไม่จัดทำโครงการควบคุมเสียงหรือแก้ไขปัญหาดังกล่าวไม่สำเร็จ จะทำให้มีผลกระทบตามมา เช่น

•   เป็นผู้กระทำผิดกฎหมายด้านเสียง มีทั้งโทษปรับและจำคุก
•   ลูกจ้างอาจเกิดภาวะสูญเสียการได้ยินแบบชั่วคราวหรือแบบถาวร
•   ประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานลดลงจากเสียงเกินค่ามาตรฐาน
•   ถูกร้องเรียนจากชุมชนหรือผู้ได้รับผลกระทบทางเสียงที่อยู่นอกโรงงาน
•   โรงงานหรือสถานประกอบกิจการอาจถูกสั่งปิดปรับปรุง จนกว่าจะแก้ไขแล้วเสร็จ

ทำไมต้องใช้บริการจาก
“NEWTECH INSULATION” ในการควบคุมเสียง?
ด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี ในการควบคุมเสียงอุตสาหกรรม เรามีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรเฉพาะทางที่มีความรู้ด้านเสียงและความสั่นสะเทือน เครื่องมืออันทันสมัยที่ได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด รวมถึงประสบการณ์ด้านการแก้ไขปัญหาเสียงอุตสาหกรรมที่มีทั้งในและต่างประเทศ ผู้ใช้บริการจึงมั่นใจได้ว่าปัญหาด้านเสียงในโรงงานหรือสถานประกอบกิจการจะได้รับการแก้ไขได้อย่างตรงจุด ด้วยค่าใช้จ่ายที่น้อยที่สุด เพราะเราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในอุตสาหกรรม
– บริษัทฯ ขึ้นทะเบียนและได้รับใบอนุญาตเป็นนิติบุคคลผู้ให้บริการตรวจวัดและวิเคราะห์สภาวะการทำงานเกี่ยวกับระดับเสียง โดยกรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงาน
– บุคลากรของบริษัทฯ ได้รับใบอนุญาตเป็นผู้ควบคุมมลพิษเสียงและความสั่นสะเทือน จากสภาวิชาชีพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
– มีทีมงานที่มากประสบการณ์และความรู้ ได้แก่ วิศวกร นักสิ่งแวดล้อมอุตสาหกรรม เจ้าหน้าที่ความปลอดภัยในการทำงาน ช่างเทคนิค รวมไปถึงช่างประกอบและติดตั้งระบบควบคุมเสียง
– มีเครื่องมือที่ได้มาตรฐานไว้ให้บริการทั้งด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์
– มีสินค้าสำหรับควบคุมเสียงและความสั่นสะเทือนให้เลือกหลากหลายรูปแบบ เช่น ผนังกันเสียง ห้องเก็บเสียง ม่านกันเสียง ตู้ครอบลดเสียง แจ็คเก็ตลดเสียง ไซเลนเซอร์ อคูสติคลูเวอร์ อุปกรณ์แยกความสั่นสะเทือน เป็นต้น
– มีการประเมินหรือทำตัวแบบจำลองระดับเสียง ก่อน-หลัง ปรับปรุงให้ลูกค้าใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายและเวลาในการแก้ปัญหาด้านเสียง
– รับประกันระดับเสียงที่ลดลง อยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด
– รับประกันคุณภาพสินค้าและฝีมือการติดตั้งทุกงาน

บริษัท นิวเทค อินซูเลชั่น จำกัด
ผู้เชี่ยวชาญด้านการควบคุมเสียงในโรงงานอุตสาหกรรม
จากประสบการณ์ในการแก้ไขปัญหาด้านเสียงมายาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเสียงทางอาชีวอนามัยและความปลอดภัยในการทำงาน และเสียงทางสิ่งแวดล้อม
ทางบริษัทฯ ยินดีให้คำแนะนำที่ทำได้จริงสำหรับการแก้ปัญหาด้านมลภาวะทางเสียงที่เกิดขึ้น เพื่อให้ทั้งโรงงาน พนักงาน หรือชุมชนโดยรอบอยู่ร่วมกันได้
“เพราะเรา…เข้าใจเรื่องเสียง”


สนใจสั่งซื้อ
เบอร์โทร:  02-583-8035 , 02-583-8034, 098-995-4650
E-mail: contact@newtechinsulation.com
Line ID: @newtechinsulation
Facebook: newtechthai
Instagram: newtechinsulation
เว็บไซด์: https://www.noisecontrol365.com/


11
“สร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน” สไตล์ครูแมกซ์

จุดเริ่มต้นเพียงแค่ไม่มีใจรักการเป็นลูกน้อง และไม่ชอบการทำงานในองค์กร บวกกับมีความตั้งใจที่ว่า อยากฝึกทักษะการทำอาหารไว้ทำให้คุณพ่อคุณแม่ทานตอนท่านแก่
พร้อมกับคำพูดของคุณแม่ที่ชอบบอกว่า “การขายของมันได้จับเงินทุกวัน” นั่นคือจุดตัดสินใจ

ครูแมกซ์
จุดเริ่มต้นง่ายๆก็เริ่มจากการเรียนรู้จากคุณแม่ของครูแมกซ์เอง ท่านเป็นคนทำอาหารไทยอร่อย และเคยเปิดร้านอาหารมาก่อนตอนครูแมกซ์เด็กๆ
โดยใช้การถาม สังเกตอย่างละเอียด และฝึกชิมรสชาติของอาหารที่แท้จริง (เพราะคุณแม่ไม่เคยชั่งตวงวัดแม่บอกชิมให้เป็นไม่ต้องมาถามสูตร555)

ร่วมกับการเรียนรู้ผ่านสื่อออนไลน์ เช่น ยูทูป ดูทุกวันตลอดระยะเวลา 8-10ปี พร้อมกับการซื้อวัตถุดิบมาลงมือทำจริง ชิมจริง ทำให้คคุณแม่ทานจริง

ครูแมกซ์
จนถึงจุดที่มั่นใจแล้วว่า…จะทำอาหารเพื่อสร้างรายได้เริ่มง่ายๆจากครัวที่บ้าน
จากประสบการณ์ตลอดระยะเวลา15ปี ที่ครูแมกซ์มีรายได้จากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นการยืนขายสลัดริมถนนหน้าตึกชาญอิสะ2 เปิดรับออเดอร์ลุกค้าในหมู่บ้าน การพรีออเดอร์ผ่านทางโซเชียลมีเดีย หรือแม้กระทั่งการออกบูทตามห้างดังต่างๆ

ทั้งหมดนี้ผ่านการทำจริง ได้ผลลัพธ์จริงมาทั้งหมดแล้วด้วยตัวครูแมกซ์เองคนเดียว (แบบไม่เลือกการมีลูกน้อง)

จึงมั่นใจมากว่าจากประสบการณ์ทั้งหมดที่ครูแมกซ์สั่งสมมาตลอดจนถึงวันนี้

ไข่เจียว
ครูแมกซ์ได้พิสูจน์แล้วว่า…การสร้างเงินแสนจากครัวที่บ้าน “มันทำได้จริง”
ครูแมกซ์ก็พร้อมที่จะถ่ายทอดทุกสูตรลัด แบไต๋ทุกเคล็ดลับให้คุณแบบหมดเปลือก!!  !!ความตั้งใจนั้นมันก็ได้เกิด”ผลลัพธ์”กับลูกศิษย์ครูแมกซ์เรียบร้อยแล้ว

📌น้องมิ้นท์ นักเรียนคอร์สไพรเวทจับมือทำรอบสด
ลาออกจากงานประจำเพื่อมาเปิดร้านขายอาหาร หลังจากเรียนกับครูแมกซ์ไปเพียงแค่3วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับพรีออเดอร์จากอาพาร์ทเมนต์ (โดยมีครูแมกซ์เป็นที่ปรึกษาตลอด1เดือนเต็ม) เริ่มจากเมนูง่ายๆที่ครูแมกซ์เลือกให้เป็นเมนูประจำร้าน คือ “เมนูไข่ฟูหมูฉ่ำนัว”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายเดือนกุมภาพันธ์ 68
สรุปได้ยอดขาย 60,000 บาท (ทำด้วยตัวคนเดียว)

📌น้องเติ๊ด นักเรียนคอร์สออนไลน์
เป็นพนักงานประจำหัวหน้าแผนกHR อยากหาอาชีพเสริมเพื่อวางแผนลาออกจากงานประจำ หลังจากเรียนคอร์สครูแมกซ์ภายใน 7 วัน น้องได้จับเงินบาทแรกจากอาหารทันที!!
โดยเปิดรับออเดอร์ที่คอนโด เริ่มจากเมนูง่ายๆที่เรียนจากคอร์สสูตรกะเพรา กับ คอร์ส10เมนูไข่ทำง่ายรายได้ปัง เมนูประจำร้าน คือ “เมนูข้าวไข่เจียว ไข่ข้น”

‼️ล่าสุดเพียงแค่ 2เดือน ยอดขายได้มากกว่าเงินเดือนประจำเป็นที่เรียนร้อยแล้ว พร้อมกับยื่นใบลาออก (แต่นายยังไม่อนุมัติ)


สนใจติดต่อสอบถามข้อมูล
ไลน์ ID  :  @krumax
Page FB : https://web.facebook.com/profile.php?id=61569480015186
เว็บไซด์ : https://krumax.net/krumaxcourse/
เบอร์โทร : 081-413-4479


12
ข้อจำกัดด้านคุณสมบัติและประสิทธิภาพของผ้ากันไฟ

แม้ว่าผ้ากันไฟจะเป็นวัสดุที่มีประโยชน์ในการป้องกันไฟ แต่ก็มีข้อจำกัดด้านคุณสมบัติและประสิทธิภาพที่ควรทราบ เพื่อให้ใช้งานได้อย่างเหมาะสมและปลอดภัย ดังนี้:

1. ข้อจำกัดด้านอุณหภูมิ:

ผ้ากันไฟแต่ละประเภทมีขีดจำกัดในการทนความร้อนที่แตกต่างกัน หากใช้ผ้ากันไฟในอุณหภูมิที่สูงเกินกว่าที่กำหนด ผ้าอาจเสื่อมสภาพหรือเสียหายได้
เช่น ผ้าใยแก้วทนความร้อนได้ประมาณ 550 องศาเซลเซียส ในขณะที่ผ้าซิลิก้าทนความร้อนได้สูงกว่าถึง 1000 องศาเซลเซียส

2. ข้อจำกัดด้านประเภทของไฟ:

ผ้ากันไฟเหมาะสำหรับดับไฟขนาดเล็กที่เกิดจากวัสดุของแข็งหรือของเหลวไวไฟ แต่ไม่เหมาะสำหรับดับไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าหรือโลหะติดไฟ
ไฟที่เกิดจากอุปกรณ์ไฟฟ้าต้องตัดกระแสไฟฟ้าก่อนดับ และไฟที่เกิดจากโลหะติดไฟต้องใช้ผ้ากันไฟชนิดพิเศษ

3. ข้อจำกัดด้านขนาดและพื้นที่:

ผ้ากันไฟมีขนาดจำกัด หากไฟมีขนาดใหญ่เกินกว่าผ้าจะคลุมได้ ผ้าจะไม่สามารถดับไฟได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ผ้ากันไฟในพื้นที่อับอากาศอาจทำให้เกิดควันและก๊าซพิษ

4. ข้อจำกัดด้านการบำรุงรักษา:

ผ้ากันไฟต้องได้รับการดูแลรักษาอย่างเหมาะสม หากผ้าสกปรก ชำรุด หรือเสื่อมสภาพ จะทำให้ประสิทธิภาพในการป้องกันไฟลดลง
ควรตรวจสอบสภาพผ้ากันไฟเป็นประจำ และเปลี่ยนใหม่เมื่อจำเป็น

5. ข้อจำกัดด้านราคา:

ผ้ากันไฟบางประเภท เช่น ผ้าอะรามิด หรือผ้าเซรามิก มีราคาสูง ซึ่งอาจเป็นข้อจำกัดสำหรับผู้ที่มีงบประมาณจำกัด

6. ข้อจำกัดด้านการระบายอากาศ:

ผ้ากันไฟบางชนิดอาจมีการระบายอากาศที่ไม่ดี ทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกร้อนหรือไม่สบายเมื่อสวมใส่เป็นเวลานาน

7. ข้อจำกัดด้านน้ำหนักและความหนา:

ผ้ากันไฟบางชนิดมีน้ำหนักมากและหนา ทำให้ไม่สะดวกในการสวมใส่หรือใช้งานในบางสถานการณ์

8. ข้อจำกัดด้านการเสื่อมสภาพ:

หากผ้ากันไฟถูกใช้งานไม่ถูกวิธี เช่น ถูกใช้งานในอุณหภูมิที่สูงเกินไปหรือติดต่อกับสารเคมีที่รุนแรง อาจทำให้คุณสมบัติการกันไฟลดลงหรือเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่คาด

ข้อควรระวัง:

ควรเลือกใช้ผ้ากันไฟให้เหมาะสมกับประเภทของไฟ ขนาดของไฟ และสภาพแวดล้อม
ควรศึกษาคู่มือการใช้งานและการดูแลรักษาผ้ากันไฟจากผู้ผลิต
ควรฝึกซ้อมการใช้งานผ้ากันไฟเป็นประจำ เพื่อให้มีความชำนาญในกรณีฉุกเฉิน

13
บริการทำความสะอาด: 5 ที่ลับ เอาไว้แอบอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้าน

ปกติคุณเก็บพวกไม้กวาด ไม้ถูพื้น หรืออุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านไว้ที่ไหนกัน ใช่ข้าง ๆ ตู้เย็นเหมือนกันหรือเปล่า หรือบางบ้านก็อาจเก็บไว้ในห้องเก็บของ แต่อุปกรณ์พวกนี้ก็จะรก ๆ อยู่ในห้องเก็บของนั่นแหละ เพราะของก็ต้องเก็บ อุปกรณ์ทำความสะอาดก็ต้องเก็บ มี 5 ที่ลับ เอาไว้แอบอุปกรณ์ทำความสะอาดมาแนะนำ บางทีอาจมีพื้นที่ที่คุณไม่ได้นึกถึงก็ได้ ไปดูกันเลย


1. แอบเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดในบานสไลด์ตามซอกหลืบ

          สำหรับบ้านที่มีพื้นที่ว่างข้างตู้เย็น หรือมีพื้นที่เป็นซอกหลืบลึก ๆ แคบ ๆ เข้าไป อย่าปล่อยให้พื้นที่ตรงนี้เสียเปล่าไป เราสามารถใช้พื้นที่ตรงนี้มาแอบเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านได้สบาย ๆ โดยทำเป็นบานสไลด์แอบไว้ในซอกหลืบนั้น เวลาจะใช้งานก็ดึงออกมาได้ แบบนี้ใช้พื้นที่ไม่มาก แต่เก็บของได้เยอะ ได้ครบครันและเป็นระเบียบดีจริง ๆ


2. แอบเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดข้างตู้หรือเก็บไว้ที่กำแพง

          หากตู้ build-in ยังเหลือพื้นที่อีกนิดหน่อย เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ไปโดยเปล่าประโยชน์ ให้ต่อพื้นที่ตรงส่วนนี้เป็นตู้เพิ่ม เอาไว้แอบซ่อนอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ หรือถ้าไม่ต่อเป็นตู้เพิ่ม ก็สามารถหาซื้อแผงจัดเก็บอุปกรณ์ หรือตะขอที่เก็บไม้กวาดที่มีขายตามท้องตลาดมาติดไว้ที่ข้างตู้ หรือจะจัดเก็บไว้ที่กำแพง ก็สามารถจัดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดบ้านให้เป็นระเบียบได้อีกวิธี


3. แอบแขวนอุปกรณ์ทำความสะอาดที่หลังประตูห้องเก็บของ

          แม้ห้องเก็บของจะเต็มไปด้วยข้าวของมากมาย เพื่อให้อุปกรณ์ทำความสะอาดถูกจัดเก็บอย่างเป็นระเบียบ ง่ายต่อการหยิบใช้งาน คุณสามารถใช้ตะกร้าแขวน หรือตะขอสำหรับแขวนและจัดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดได้ และเพื่อให้พื้นที่ไม่เสียไปโดยเปล่าประโยชน์ ประตูห้องเก็บของก็เป็นอีกที่ที่สามารถใช้จัดเก็บอุปกรณ์ต่าง ๆ ได้เช่นกัน


4. แอบอุปกรณ์ทำความสะอาดในตู้ Build-in

          คนที่กำลังสร้างบ้านใหม่ อาจมีการกั้นพื้นที่เอาไว้ build-in ตู้สำหรับจัดเก็บอุปกรณ์ทำความสะอาดโดยเฉพาะ แบบนี้ก็เป็นวิธีที่ดีอีก 1 วิธี เราจะได้มีพื้นที่เก็บอย่างเป็นสัดเป็นส่วน อาจติดตั้งตะแกรงลิ้นชักไว้เก็บของ เพื่อให้วางของได้ตามประเภทอย่างเป็นระเบียบ และง่ายกับการหยิบใช้งาน หรือจะติดตั้งตะแกรงที่ประตูตู้ เอาไว้แขวนอุปกรณ์ต่าง ๆ รวมถึงสายเครื่องดูดฝุ่น ก็ดูเป็นระเบียบดี และอาจแบ่งช่องสำหรับไว้วางโต๊ะรองรีดก็ยังได้


5. แอบในตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด

          ตู้เก็บอุปกรณ์ทำความสะอาด ก็เป็นอีกทางเลือกที่สะดวกดี หาซื้อที่เหมาะกับการใช้งาน และเหมาะกับขนาดพื้นที่ที่บ้าน แค่นี้คุณก็มีพื้นที่เอาไว้แอบอุปกรณ์ทำความสะอาดแล้ว

14
Doctor At Home: งูกัด (Snakebites)

ในบ้านเรา พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดได้ค่อนข้างบ่อย และในปีหนึ่ง ๆ มีผู้ที่เสียชีวิตจากการถูกงูกัดอยู่พอประมาณ

ผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 10-39 ปี ถูกงูกัดมากกว่าช่วงอายุอื่น และผู้ชายจะถูกงูกัดมากกว่าผู้หญิงประมาณ 2 เท่า ยกเว้นงูเขียวหางไหม้ ที่ผู้ชายและผู้หญิงมีโอกาสถูกกัดเท่า ๆ กัน

ช่วงเวลาที่พบผู้ป่วยที่ถูกงูกัดชุกชุม มักเป็นฤดูฝน (ตั้งแต่พฤษภาคมจนถึงพฤศจิกายน)

สำหรับผู้ป่วยที่ถูกงูพิษกัด พบว่าเกิดจากถูกงูกะปะกัดมากเป็นอันดับหนึ่ง (พบมากทางภาคใต้) รองลงมา ได้แก่ งูเขียวหางไหม้ (พบมากทางภาคกลาง) และงูเห่า (พบมากทางภาคกลาง) ตามลำดับ

ความเเตกต่างระหว่างงูพิษ กับงูไม่มีพิษ

งูพิษ มีเขี้ยว (fang) 1 คู่ อยู่ตรงขากรรไกรบน เขี้ยวมีลักษณะเป็นรูกลวงคล้ายเข็มฉีดยา มีท่อติดต่อกับต่อมน้ำพิษ เมื่องูพิษกัดคนหรือสัตว์ ต่อมน้ำพิษจะปล่อยพิษไหลมาตามท่อ และออกทางปลายเขี้ยว คนที่ถูกงูพิษกัดจะพบรอยเขี้ยวเป็นจุด 2 จุด ตรงบริเวณที่ถูกกัด

งูไม่มีพิษ จะไม่มีเขี้ยว มีแต่ฟัน เมื่อกัดคนจะเป็นแต่รอยถลอกหรือรอยถากเท่านั้น จะไม่พบรอยเขี้ยว

งูไม่มีพิษ เช่น งูก้นขบ งูแสงอาทิตย์ งูปี่แก้ว งูเขียวปากจิ้งจก งูลายสาบ งูลายสอ งูงอด งูเหลือม และงูหลาม (2 ชนิดหลังตัวใหญ่ สามารถรัดลำตัวทำให้ตายได้)

ชนิดของงูพิษ

งูพิษ 7 ชนิด สามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ตามชนิดของพิษ ได้แก่

1. งูที่มีพิษต่อประสาท (neurotoxin) ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง ทำให้กล้ามเนื้อเป็นอัมพาต

2. งูที่มีพิษต่อเลือด (hemotoxin) ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้ ทำให้เลือดออกตามส่วนต่าง ๆ ทั่วร่างกาย เพราะพิษของมันทำให้เลือดไม่แข็งตัว

3. งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ (myotoxin) ได้แก่ งูทะเล ทำให้กล้ามเนื้ออักเสบและกล้ามเนื้อตาย

ส่วนงูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา จะมีพิษต่อประสาทและเลือด แต่จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูเห่า

สาเหตุ

เกิดจากถูกงูพิษฉกกัดด้วยเหตุบังเอิญ ซึ่งอาจเกิดขึ้นที่บริเวณที่รก กองไม้ พงหญ้า ดงไม้ ซอกหิน ในบริเวณบ้าน ทุ่งหญ้า ท้องนา ไร่สวน ป่าเขาที่มีงูซุกซ่อนอยู่

อาการ

อาการงูพิษกัด แบ่งเป็นอาการเฉพาะที่ กับอาการทั่วไป

1. อาการเฉพาะที่

แผลที่ถูกงูพิษกัด จะมีลักษณะแตกต่างไปจากงูไม่มีพิษกัด คือ จะพบรอยเขี้ยว 2 รอย เห็นเป็นจุดหรือขีดเล็ก ๆ และมีอาการปวดกับบวมในบริเวณที่ถูกกัด บางครั้งมีเลือดออกซิบ ๆ ต่อมากลายเป็นสีเขียวคล้ำ มีตุ่มพอง ทิ้งไว้จะแตกออก และกลายเป็นแผลเน่า อาจต้องรักษาด้วยการผ่าตัดปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)

ส่วนงูไม่มีพิษกัดจะไม่พบรอยเขี้ยว อาจเห็นเพียงรอยถากหรือรอยถลอก

สำหรับงูที่มีพิษต่อเลือดกัด อาการบวมจะเกิดขึ้นรวดเร็วภายใน 15-20 นาที และมีน้ำเหลืองหรือเลือดไหลออกจากรอยเขี้ยวไม่หยุด อาการบวมจะลุกลามมากขึ้น

ส่วนงูเห่ากัด จะมีอาการปวดพอทน อาการปวดค่อยเพิ่มมากขึ้นและแผ่ซ่านไป และจะมีอาการบวมบริเวณที่ถูกกัดเล็กน้อยภายหลัง 1 ชั่วโมง

ส่วนงูทะเลและงูสามเหลี่ยมกัด มักไม่ค่อยมีอาการปวดบวม

2. อาการทั่วไป

พบได้ประมาณร้อยละ 25-50 ของผู้ที่ถูกงูพิษกัด

มักจะเกิดขึ้นภายใน 1/2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด ในรายที่มีอาการเกิดขึ้นเร็ว ก็แสดงว่าได้รับพิษมาก และอาการจะรุนแรงมากด้วย แต่ถ้าไม่มีอาการเกิดขึ้นหลัง 3 ชั่วโมงไปแล้ว ก็แสดงว่าได้รับพิษน้อยและไม่ค่อยรุนแรง

งูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่ากัด เริ่มแรกผู้ป่วยจะมีอาการซึม ง่วงนอน หนังตาตก (ตาปรือ ลืมตาไม่ขึ้น) ต่อมาแขนขาจะอ่อนแรง ตาหรี่ลง กระวนกระวาย ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ พูดอ้อแอ้ คอตั้งตรงไม่ได้ น้ำลายฟูม หายใจลำบาก เพราะกล้ามเนื้อช่วยการหายใจเป็นอัมพาต ขั้นสุดท้ายจะหยุดหายใจ หมดสติและหัวใจหยุดเต้น ผู้ป่วยอาจเสียชีวิตภายใน 2-3 ชั่วโมงหลังถูกกัด หากไม่ได้รับการช่วยเหลือได้ทันท่วงที

งูจงอาง ทำให้ผู้ป่วยแสดงอาการเหมือนงูเห่ากัดทุกอย่าง แต่รุนแรงกว่ากันมาก เนื่องจากมีปริมาณพิษมาก ผู้ป่วยมักเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็ว

งูสามเหลี่ยม และงูทับสมิงคลา ก็แสดงอาการคล้ายงูเห่า ต่อมาจะมีอาการเลือดออกตามที่ต่าง ๆ โดยทั่วไปมักไม่ค่อยพบผู้ป่วยที่ถูกงูชนิดนี้กัด

งูที่มีพิษต่อเลือด ตัวที่มีพิษรุนแรงที่สุด ได้แก่ งูแมวเซา เริ่มแรกจะมีเลือดออกเป็นจ้ำ ๆ ตามผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเลือดปนเสมหะออกมา ต่อมาจะมีอาการอาเจียน ปัสสาวะและอุจจาระเป็นเลือดสด ๆ ผู้ป่วยมักจะไม่เสียชีวิตในเวลาอันสั้น ๆ เหมือนงูเห่ากัด แต่จะค่อย ๆ เสียเลือดจนเกิดภาวะช็อก ในรายที่ได้รับพิษรุนแรง และได้รับการรักษาช้าไป อาจเสียชีวิตภายใน 1-3 วัน ในบางรายถึงแม้อาการทางเลือดจะหายไปแล้ว ก็อาจเสียชีวิตเนื่องจากเกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (ปัสสาวะไม่ออกหรือออกน้อย) เนื่องจากพิษงูทำให้ไตเสีย ซึ่งมักจะเกิดหลังถูกกัด 3-4 สัปดาห์

งูกะปะ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่รุนแรงน้อยกว่า อาจเสียชีวิตจากการเสียเลือดแต่ไม่เกิดภาวะไตวาย มักเกิดอาการเฉพาะที่ค่อนข้างรุนแรง คือ บริเวณที่ถูกกัดจะกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) จนบางครั้งจะต้องตัดนิ้วหรือแขนขา

งูเขียวหางไหม้ จะทำให้เกิดอาการคล้ายงูแมวเซากัด แต่มักมีอาการไม่รุนแรง ส่วนใหญ่จะพบว่าบริเวณที่ถูกกัดปวดบวมอย่างมาก อาการปวดจะหายภายใน 5-6 ชั่วโมง แผลจะบวมอยู่ 3-4 วัน ในรายที่ไม่รุนแรงจะหายภายใน 5-7 วัน แต่ในรายที่รุนแรงอาการบวมจะลุกลามมาก และผิวหนังพองขึ้นมีเลือดขังอยู่ ถ้าส่วนที่พองนี้แตก จะมีน้ำเหลืองปนเลือดออกไม่หยุดจนช็อก

แม้ว่าอาการจะหายดีแล้ว แต่การแข็งตัวของเลือดผิดปกติอยู่นาน 2-4 เดือน ดังนั้นถ้าผู้ป่วยต้องรับการผ่าตัดหรือคลอดบุตร ควรระวังการตกเลือด

งูที่มีพิษต่อกล้ามเนื้อ ได้แก่ งูทะเล ผู้ป่วยมักถูกกัดในน้ำแถบปากอ่าวหรือขณะเก็บอวน รอยเขี้ยวห่างกันเล็กน้อย และไม่มีอาการปวดบวมแต่อย่างใด 1-2 ชั่วโมงต่อมาจะรู้สึกปวดเมื่อยกล้ามเนื้อตามแขนขา คอและลำตัว ยิ่งเคลื่อนไหวยิ่งปวด 8 ชั่วโมงต่อมาจะมีอาการปวดมากขึ้น แขนขาเป็นอัมพาต อ้าปากไม่ได้ หนังตาตก และปัสสาวะออกเป็นสีดำ ผู้ป่วยมักเสียชีวิตภายในเวลา 14-16 ชั่วโมงหลังถูกกัด ผู้ป่วยบางรายอาจมีภาวะไตวายเนื่องจากพิษของงูทำให้ไตเสีย

สำหรับผู้ป่วยถูกงูทะเลกัด ขณะนี้ในบ้านเรายังไม่มีการผลิตเซรุ่มแก้พิษงูทะเลขึ้นใช้ จึงได้แต่ให้การรักษาตามอาการ ถ้ารอดไปได้ประมาณ 6 เดือน อาการอัมพาตและอาการอื่น ๆ ก็จะค่อย ๆ หายไป

ภาวะแทรกซ้อน

กล้ามเนื้อช่วยหายใจเป็นอัมพาต หยุดหายใจ เลือดออก ไตวาย หรือแผลเนื้อตาย ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของพิษงู

การวินิจฉัย

แพทย์จะวินิจฉัยจากอาการ ประวัติการเจ็บป่วย และ การตรวจร่างกายเป็นหลัก โดยอาศัยข้อมูล ได้แก่

    สถานที่ที่ถูกกัดและอาชีพของผู้ป่วย ถ้าเป็นชาวนาในภาคกลางถูกกัดในท้องนา มักมีสาเหตุจากงูเห่าหรืองูแมวเซากัดมากกว่างูพิษชนิดอื่น ชาวประมงถูกกัดในทะเล มักมีสาเหตุจากงูทะเล ถ้าถูกกัดในบริเวณบ้านก็มักจะมีสาเหตุจากงูเขียวหางไหม้

    ลักษณะของงูพิษ ถ้านำตัวงูมาด้วย หรือผู้ป่วยสามารถบอกถึงลักษณะของงูได้แน่ชัด ก็จะช่วยวินิจฉัยชนิดของงูเเละพิษที่ผู้ป่วยได้รับได้ง่ายขึ้น แต่ถ้าไม่ทราบชนิดของงู ก็ต้องตรวจดูงูที่นำมานั้นว่ามีเขี้ยวพิษหรือไม่

    รอยเขี้ยว ผู้ที่ถูกงูพิษกัดจะต้องตรวจพบรอยเขี้ยว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าไม่มีใครบอกได้ว่างูที่กัดนั้นเป็นงูอะไร (หรือรูปร่างอย่างไร) และไม่ได้นำตัวงูมาด้วย การตรวจพบรอยเขี้ยวจะเป็นหลักฐานสำคัญที่บอกว่าเป็นงูพิษกัด

    อาการเเสดง ทั้งอาการเฉพาะที่และอาการทั่วไป จะช่วยบอกถึงชนิดของงูพิษ เช่น ถ้ามีหนังตาตกหรือหยุดหายใจ ก็น่าจะสงสัยงูเห่ากัด ถ้าปวดบวมแผลมากและมีอาการเลือดออก ก็น่าจะสงสัยงูในกลุ่มพิษต่อเลือด (โดยเฉพาะอย่างยิ่งงูแมวเซา) ถ้าปวดเมื่อยกล้ามเนื้อมาก และปัสสาวะเป็นสีดำ ก็ช่วยบ่งบอกว่าถูกงูทะเลกัด ถ้ามีอาการปวดบวมตรงบริเวณที่ถูกกัดอย่างมาก โดยไม่มีอาการทางระบบประสาทหรือมีเลือดออก น่าจะเกิดจากพิษงูเขียวหางไหม้ เป็นต้น

    การทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด (coagulation time) เป็นวิธีง่าย ๆ ที่สามารถทำตามสถานพยาบาลทั่วไป โดยเจาะเลือดผู้ป่วย 3-5 มล. ใส่ในหลอดแก้ว (ที่ล้างสะอาดและแห้งสนิท) ตั้งทิ้งไว้ในห้องตรวจ (ในอุณหภูมิห้อง) เป็นเวลา 20 นาที โดยไม่เขย่าหลอดแก้ว ถ้าเลือดในหลอดแก้วไม่กลายเป็นลิ่ม ก็บ่งชี้ว่าน่าจะเกิดจากกลุ่มงูพิษต่อเลือดมากกว่างูเห่า

การรักษาโดยแพทย์

แพทย์จะให้การดูแลรักษา ดังนี้

1. ทำความสะอาดบาดแผล แล้วตรวจดูรอยเขี้ยวและลักษณะแผลที่ถูกงูกัด ว่าเข้าลักษณะของแผลงูพิษหรืองูไม่มีพิษ หรือสัตว์อื่นกัด

2. ถ้าพบลักษณะอาการบ่งบอกหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด แพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น น้ำเกลือ เซรุ่มแก้พิษงู เครื่องช่วยหายใจ อะดรีนาลิน สเตียรอยด์ และยาแก้แพ้ไว้ให้พร้อม และมีแนวทางการรักษา ดังนี้

2.1 รับผู้ป่วยไว้ในโรงพยาบาล เพื่อเฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด ด้วยการบันทึกสัญญาณชีพ (ความดันโลหิต ชีพจร การหายใจ) ทุกชั่วโมง และดูว่ามีอาการทางประสาท เช่น หนังตาตก (สำหรับกลุ่มพิษต่อประสาท) เลือดออกหรือการทดสอบระยะเวลาการจับตัวเป็นลิ่มเลือด นานเกิน 20 นาที (สำหรับกลุ่มพิษต่อเลือด) หรือปวดเมื่อยกล้ามเนื้อและปัสสาวะดำ (สำหรับงูทะเล) หรือไม่ ควรสังเกตอาการเป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง หากพ้น 12 ชั่วโมงแล้วยังไม่มีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้น ก็สามารถให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลได้ภายหลังจากการรักษาบาดแผล

2.2 ถ้าผู้ป่วยมีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ทำการรักษา ดังนี้

(1) ให้น้ำเกลือทางหลอดเลือดดำทันที เพื่อใช้เป็นทางฉีดเซรุ่มแก้พิษงูได้สะดวก

(2) ให้เซรุ่มแก้พิษงู (antivenom) เฉพาะสำหรับงูชนิดนั้น ๆ

ในกรณีที่ไม่ทราบว่าถูกงูพิษชนิดใดกัด ก็ต้องอาศัยอาการของผู้ป่วยเป็นหลักในการตัดสินใจ ถ้าผู้ป่วยมีอาการทางประสาท ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูเห่า ถ้ามีอาการเลือดออก ก็ให้เซรุ่มแก้พิษงูแมวเซา เป็นต้น

เซรุ่มแก้พิษงู ควรให้ต่อเมื่อมีอาการพิษต่อระบบทั่วไปเกิดขึ้นแล้ว ถ้ามีเพียงอาการเฉพาะที่ก็ไม่ต้องให้ ยกเว้นในกรณีที่มีอาการเฉพาะที่รุนแรง เช่น บวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด

การให้เซรุ่มแก้พิษงู สามารถให้แก่ผู้ป่วยทุกรายที่มีข้อบ่งชี้ว่าได้รับพิษรุนแรง ไม่ว่าจะถูกกัดมานานเท่าใดก็ตาม

ในกรณีถูกงูที่มีพิษต่อประสาทกัด แล้วเริ่มเกิดอาการอัมพาตของกล้ามเนื้อ หรือในกรณีที่ไม่มีเซรุ่มแก้พิษงูกลุ่มนี้ อาจให้ยากลุ่มแอนติโคลินแอสเตอเรส (anti-cholinesterase) ช่วยชีวิตผู้ป่วยได้ ซึ่งใช้ได้ผลดีในการรักษาพิษงูเห่า และงูทับสมิงคลา

(3) ให้การรักษาแบบประคับประคอง เช่น

    ใช้เครื่องช่วยหายใจ ในรายที่หยุดหายใจ (เช่น ถูกงูเห่า หรืองูทะเลกัด)
    ให้เลือด ถ้ามีเลือดออกรุนแรง (เช่น ถูกงูแมวเซากัด)
    ในรายที่มีภาวะไตวายเฉียบพลัน (มักเกิดจากงูทะเล หรืองูแมวเซากัด) ต้องรักษาด้วยการฟอกล้างของเสียหรือล้างไต (dialysis) โดยมากภาวะนี้จะเป็นอยู่นาน 2-10 วัน

(4) ในรายที่มีเพียงอาการเฉพาะที่ ยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ไม่จำเป็นต้องให้เซรุ่มแก้พิษงู (ยกเว้นในรายที่มีแผลบวมเร็ว และบวมมากกว่าครึ่งหนึ่งของแขนหรือขาที่ถูกกัด จะให้เซรุ่มแก้พิษงูแบบเดียวกับในรายที่มีอาการทั่วไป) และให้การรักษาตามอาการ เช่น

    ให้ยาแก้ปวด-พาราเซตามอล โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดจากงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เพราะถ้าใช้แอสไพรินอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    จัดแขนขาส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่สูงกว่าระดับหัวใจ จะช่วยลดอาการปวดและอาการบวมให้น้อยลงได้ เช่น ถ้าถูกกัดที่เท้า ให้นอนราบและใช้หมอนรองเท้าให้สูงกว่าระดับหัวใจ ถ้าถูกกัดที่มือ ให้ใช้ผ้าคล้องมือไว้กับคอ เป็นต้น
    เฝ้าสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด เป็นเวลาอย่างน้อย 12 ชั่วโมง เมื่อพ้น 12 ชั่วโมงไปแล้วยังไม่มีอาการทั่วไปเกิดขึ้น ก็แสดงว่าได้รับพิษไม่รุนแรง สามารถให้ผู้ป่วยกลับบ้านได้

2.4 การรักษาบาดแผล ให้การดูแลรักษาแบบบาดแผลทั่ว ๆ ไป คือ

    ให้ยาป้องกันบาดทะยัก เนื่องจากเคยมีรายงานผู้ป่วยถูกงูกัดที่ดูแลแผลไม่ถูกต้องจนกลายเป็นบาดทะยักมาแล้ว
    บาดแผลที่เกิดจากงูกัด บางครั้งอาจกลายเป็นแผลเนื้อตาย (necrosis) เนื่องจากพิษงู (พบมากในงูกะปะและงูเห่า) ถ้าแผลลุกลามเป็นวงกว้าง อาจต้องรักษาด้วยการปลูกถ่ายผิวหนัง (skin graft)

การดูแลตนเอง

หากสงสัยถูกงูพิษกัด ควรทำการปฐมพยาบาล แล้วรีบพาผู้ป่วยไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลใกล้บ้านโดยเร็ว อย่าเสียเวลาลองรักษาเอง หรือรอสังเกตอาการ เนื่องจากหากมีอาการเกิดขึ้นแล้วค่อยไปพบแพทย์อาจได้รับการรักษาไม่ทันการ

เมื่อได้รับการตรวจรักษาจากแพทย์ ควรรับการรักษาและปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรถามและขอคำแนะนำจากแพทย์ให้กระจ่าง

การปฐมพยาบาล
เมื่อถูกงูพิษหรือสงสัยว่าเป็นงูพิษกัด ผู้ป่วยควรตั้งสติ ลดความตื่นเต้นตกใจ ควรนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด อย่ารีรอจนพิษงูซึมเข้าสู่ร่างกายในปริมาณมาก หรือรอให้มีอาการเกิดขึ้นแล้วจะเป็นอันตรายต่อชีวิตได้

ควรให้การปฐมพยาบาล ดังนี้

    ทำความสะอาดบาดแผลด้วยน้ำสะอาดกับสบู่ หรือน้ำยาฆ่าเชื้อ (เช่น แอลกอฮอล์, โพวิโดนไอโอดีน) ถ้ารู้สึกปวดแผลให้กินพาราเซตามอล ห้ามให้แอสไพรินเพราะอาจทำให้เลือดออกง่ายขึ้น
    พยายามเคลื่อนไหวแขนหรือขาส่วนที่ถูกงูกัดให้น้อยที่สุด ควรจัดตำแหน่งของส่วนที่ถูกงูกัดให้อยู่ในระดับต่ำกว่าหัวใจ (เช่น ห้อยเท้าหรือมือส่วนที่ถูกงูกัดลงต่ำ) ระหว่างเดินทางไปยังสถานพยาบาล อย่าให้ผู้ป่วยเดิน ควรให้ผู้ป่วยนั่งหรือนอนในรถหรือแคร่หาม ทั้งนี้เพื่อชะลอไม่ให้พิษงูแล่นเข้าหัวใจ
    ควรดูให้รู้แน่ว่าเป็นงูอะไร แต่ถ้าไม่แน่ใจควรรีบถ่ายภาพงูไว้ หรือบอกให้คนอื่นที่อยู่ในที่เกิดเหตุช่วยตีงูให้ตายและนำไปยังสถานพยาบาลด้วย  (อย่าตีให้เละจนจำลักษณะไม่ได้) แต่ถ้างูหลบหายไปก็ไม่ควรเสียเวลาในการตามหา
    ถอดเครื่องประดับ (เช่น แหวน กำไล) ออกจากปลายแขนหรือขาที่ถูกงูกัด หากปล่อยไว้จนมีอาการบวมแล้วจะถอดได้ยาก หรือทำให้เกิดอันตรายได้
    อย่าทำการขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล เพื่อป้องกันพิษแล่นเข้าหัวใจตามความเชื่อเดิม เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว หากรัดแน่นและนานเกินไปอาจทำให้แขนหรือขาข้างที่รัดนั้นขาดเลือดไปเลี้ยงเกิดเนื้อตายได้
    อย่าพยายามบีบเลือด รีดหรือดูดพิษออกจากบาดแผล เพราะนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้วยังอาจทำให้แผลอักเสบได้
    อย่าใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อน จี้ที่แผลงูกัด และอย่าใช้มีดกรีดแผลเป็นอันขาดเพราะอาจทำให้เลือดออกมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าถูกงูที่มีพิษต่อเลือดกัด เช่น งูแมวเซา งูกะปะ งูเขียวหางไหม้) หรืออาจตัดถูกเส้นเอ็นหรือเส้นประสาท รวมทั้งอาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
    อย่าให้ผู้ป่วยดื่มแอลกอฮอล์ หรือยาดองเหล้า หรือกินยากระตุ้นประสาท รวมทั้งชา กาแฟ
    ถ้าผู้ป่วยเกิดอาการหยุดหายใจ (จากงูที่มีพิษต่อประสาท เช่น งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม) ให้ทำการเป่าปากช่วยหายใจไปตลอดทางจนกว่าจะถึงสถานพยาบาลที่ใกล้บ้านที่สุด

การป้องกัน

การป้องกันอาจทำได้ดังนี้

1. ควรใส่รองเท้าบู๊ตหรือรองเท้าหุ้มข้อ เมื่อจะเข้าไปในป่า สวนยางพารา สวนผลไม้ หรือที่รก

2. เวลาเดินทางผ่านท้องนา หรือทุ่งหญ้าในเวลากลางคืน ควรใช้ไม้หวดนำไปก่อน เพื่อไล่ให้งูหนีไป

3. เวลานั่งตามโคนไม้หรือขอนไม้ ควรสังเกตให้ทั่วเสียก่อนว่าไม่มีงูอยู่

4. ไม่ควรกางกระโจมนอนใกล้ก้อนหินหรือกองไม้ที่น่าสงสัยว่ามีงูอาศัยอยู่

5. ไม่ควรล้วงมือเข้าไปตามซอกหิน โพรงไม้หรือใต้แผ่นไม้ เพราะอาจมีงูซ่อนอยู่

ข้อแนะนำ

1. เมื่อถูกงูกัด ควรดูว่าเป็นงูอะไร หรือรีบถ่ายภาพงูไว้ เพื่อนำไปให้แพทย์ดู และรีบทำการปฐมพยาบาลที่ได้ผลและปลอดภัยตามขั้นตอนที่แพทย์แนะนำในปัจจุบัน ไม่ควรทำตามความเชื่อหรือสิ่งที่เคยแนะนำไว้แต่เดิมที (เช่น การขันชะเนาะหรือใช้เชือกหรือยางรัดเหนือบาดแผล การใช้ปากดูดพิษจากแผลงูกัด ใช้ไฟ บุหรี่ ธูป หรือเหล็กร้อนจี้ที่แผลงูกัด การใช้มีดกรีดแผล) ซึ่งนอกจากไม่ได้ประโยชน์แล้ว ยังอาจมีโทษหรือเป็นอันตรายได้

2. ถ้าหากถูกงูพิษกัด ควรแนะนำให้ผู้ป่วยไปรักษาที่โรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ป่วยที่มีอาการทั่วไป (เช่น หนังตาตก เลือดออก) เกิดขึ้นแล้ว การรักษาด้วยเซรุ่มแก้พิษงูและการรักษาแบบประคับประคองแก้ไขภาวะร้ายแรง (เช่น การใช้เครื่องช่วยหายใจ การให้เลือด การล้างไต) จะมีส่วนช่วยให้ผู้ป่วยหายได้เร็วและปลอดภัย

1. งูเห่า (cobra/Naja) เป็นงูพิษที่มีพิษร้ายแรงและเป็นอันตรายมาก มีนิสัยดุ พบชุกชุมแทบทุกภาคของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ แถบชานเมือง (เช่น ตำบลหนองงูเห่า อำเภอลาดกระบัง) สมุทรปราการ กาญจนบุรี พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี เพชรบูรณ์ เป็นต้น

งูเห่ามีหลายชนิด พบแบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น 3 ตระกูล คือ

    งูเห่าไทย (Naja kaouthia)
    งูเห่าพ่นพิษ (Naja siamensis เเละ Naja sumatrana)
    งูเห่าอินเดีย (Naja tripudians)

งูเห่ามีลักษณะหัวมน คอสั้น ตัวกลมยาวเรียวประมาณ 1-1/2 เมตร มีสีต่าง ๆ กันแล้วแต่ชนิด โดยทั่วไปมีสีดำ เขียวอมเทา น้ำตาล มีลักษณะพิเศษ คือ มันสามารถยกส่วนหัวขึ้นตั้งฉากกับพื้นได้ประมาณ 1/3 ของลำตัว และตรงลำคอสามารถแผ่ให้แบนออกได้ เรียกว่า แผ่แม่เบี้ย ส่วนบนด้านหลังของแม่เบี้ยจะมีสีแต้มต่าง ๆ กัน แล้วแต่ชนิดของงู เรียกว่า ดอกจัน มันจะแสดงอาการแบบนี้เวลาโกรธหรือตกใจ เป็นอาการเตรียมพร้อมที่จะกัด เขี้ยวพิษของงูเห่าสั้น ดังนั้นเวลากัดจึงต้องยกหัว แผ่แม่เบี้ยและฉกไปข้างหน้า งูเห่าจะออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน ส่วนมากตอนหัวค่ำถึงตอนดึก ชอบอาศัยอยู่ในทุ่งนา โพรงดิน ป่าละเมาะ ชายเขา มีพิษต่อประสาท

2. งูจงอาง (King cobra/Ophiohagus hannah) เป็นงูพิษที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก มีความยาวประมาณ 3.50-4.00 เมตร ยาวสุดอาจถึง 6 เมตร เป็นงูที่ดุร้ายอันตรายมาก ชอบอยู่ในป่าสูงทั่วไป มีชุกชุมมากในป่าภาคใต้ และภาคกลาง เช่น ประจวบคีรีขันธ์ นครศรีธรรมราช ตรัง พัทลุง กาญจนบุรี ลพบุรี ระยอง นครราชสีมา เป็นต้น

ลักษณะมีลายสีเหลืองหรือเขียวอมเทา ใต้คางมีสีเหลืองหรือส้ม บางชนิดหัวดำ หางดำ ตัวลายเป็นปล้องสีดำ สามารถแผ่แม่เบี้ยเช่นงูเห่า แต่ไม่มีดอกจัน ออกหากินไม่เป็นเวลาแน่นอน โดยมากเป็นเวลากลางวันจนถึงพลบค่ำ ชอบนอนตามกอไผ่ กอหญ้า โพรงไม้ ซอกหิน มีพิษต่อประสาท

3. งูสามเหลี่ยม (banded krait/Bungarus fasciatus) ลักษณะตัวเป็นรูปสามเหลี่ยม โดยมีด้านท้องเป็นฐาน ตัวยาวประมาณ 2 เมตร ตัวมีสีเหลืองเป็นปล้อง ๆ สลับกับสีดำ บางชนิดหัวแดง หางแดง ตัวสีดำ เป็นงูบกที่ชอบออกหากินตามริมน้ำ บางครั้งลงว่ายในน้ำ เป็นงูที่ไม่มีนิสัยดุร้าย ไม่ทำร้ายคน ผู้ที่ถูกกัดมักจะเดินไปเหยียบมันเข้า หรือเดินผ่านไปขณะที่มันกำลังไล่กัดเหยื่อ ชอบอยู่ในที่มืดและซึมเซาเวลากลางวัน แต่ว่องไวมากเวลากลางคืน ออกหากินเวลาพลบค่ำถึงกลางคืน พบได้ทั่วไปทุกภาค มีพิษต่อประสาทและเลือด

งูทับสมิงคลา (Malayan krait/Bungarus candidus) เป็นงูสามเหลี่ยมพันธุ์หนึ่ง แต่ลำตัวกลม ไม่เป็นสามเหลี่ยม ลายสีดำสลับขาว คาดไม่รอบท้อง หางเรียวแหลมลงไปเรื่อย ๆ มีนิสัยปราดเปรียว เคลื่อนไหวเร็ว ชอบกัดคนตอนกลางคืน พบบ่อยในภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีพิษต่อประสาทและเลือดแบบเดียวกับงูสามเหลี่ยม

4. งูแมวเซา (Russell’s viper/Vipera russelli siamensis) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ตัวอ้วน คอเล็ก หางกลมยาวเรียว ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนปนเทา มีลายเป็นวงกลมหรือรูปไข่สีน้ำตาลเข้ม มีนิสัยดุ แต่เชื่องช้า เวลาตกใจหรือระวังตัวจะขดตัวเข้ามา แล้วสูดหายใจเข้าออกแรง ๆ ทำให้มีเสียงเกิดขึ้น คล้ายเสียงแมวกรน (หรือแมวเซา) แต่ถ้าศัตรูเข้าใกล้จะฉกกัดได้ เขี้ยวยาวโง้ง และสามารถเคลื่อนไหวได้ เวลากัดจึงขยับเขี้ยวให้ฝังได้ถนัดและลึก ออกหากินเวลากลางคืน ชอบอาศัยอยู่ตามที่ดอน ในซอกหิน โพรงดิน พงหญ้า ชอบที่แห้ง ๆ มากกว่าที่แฉะ ๆ มีชุกชุมในภาคกลาง เช่น กรุงเทพฯ พระนครศรีอยุธยา อ่างทอง ลพบุรี สิงห์บุรี สระบุรี นครสวรรค์ เป็นต้น  มีพิษต่อเลือด

5. งูกะปะ (Malayan pit viper/Calloselasma rhodostoma) หัวมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ปากแหลม คอคอด หางสั้น เขี้ยวพิษยาวโง้ง ไม่ปราดเปรียว เมื่อตกใจจะงอตัวหรือขดนิ่ง แต่ฉกกัดรวดเร็ว เมื่อตกใจมากจวนตัวจะดีดตัวไปแทนการเลื้อย ลำตัวมีสีเทาอมม่วง มีลายเป็นรูปสามเหลี่ยม มีสีน้ำตาลเข้มหรือดำ ออกหากินในเวลากลางคืน โดยเฉพาะเมื่อน้ำค้างจัดและหลังฝนตก ชอบอาศัยอยู่ตามโคนไม้ใหญ่ที่มีใบแห้งทับถม พบชุกชุมในแถบที่เป็นดินทราย มีชุกชุมในจังหวัดภาคใต้ทุกจังหวัด และจังหวัดชายฝั่งทะเลตะวันออกของประเทศ เช่น ชลบุรี จันทบุรี ตราด ระยอง ปราจีนบุรี นครนายก เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบในหลายจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคอีสาน มีพิษต่อเลือด

6. งูทะเล (sea snake/Hydropheinae เเละ Laticaudinae) ที่มีพิษ เช่น งูคออ่อน งูชายธง งูผ้าขี้ริ้ว งูฝักมะรุม มีอยู่ในอ่าวไทยทั่ว ๆ ไป พบได้ตามจังหวัดชายฝั่งทะเลทุกภาค มีลักษณะหัวและคอเล็กกว่าลำตัวมาก มีหางแบนสำหรับว่ายน้ำ มีท้องสีขาว และหลังเป็นลายดำ ๆ ส่วนมากไม่ดุ อ่อนเปลี้ยเมื่อขึ้นพ้นน้ำ แต่ว่องไวเมื่ออยู่ในทะเล ชอบอาศัยตามทะเลโคลนมากกว่าทะเลทรายน้ำใส มีพิษต่อกล้ามเนื้อ

7. งูเขียวหางไหม้ (green pit viper/Trimeresurus และ Ovophis) ในบรรดางูพิษอ่อนด้วยกัน งูเขียวหางไหม้นับว่ามีอันตรายมากที่สุด เพราะมีนิสัยดุ มีอำนาจพิษและปริมาณน้ำพิษมากที่สุดในพวกงูพิษอ่อน มีหัวป้อม เขี้ยวพิษยาวโง้ง ตัวอ้วนสั้น หางสั้น ตัวสีเขียวอมเหลืองหรือเขียวแก่ หางสีน้ำตาลไหม้หรือสีแดง ชอบหากินเวลากลางคืน ชอบอยู่ตามสวนหรือในที่มืด เช่น ใต้ถุนบ้าน ตามลังหรือหีบเก็บของ มีชุกชุมทั่ว ๆ ไป พบมากที่กรุงเทพฯ ชลบุรี นครปฐม สระบุรี ลพบุรี มีพิษต่อเลือด

15
การตรวจคัดกรองโรคมะเร็งกับความสำคัญต่อสุขภาพที่ควรรู้

แม้ว่าโรคมะเร็งนั้นมีความร้ายแรงจนอาจนำไปสู่การเสียชีวิต แต่การตรวจคัดกรองมะเร็งตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้แพทย์สามารถค้นหาเซลล์มะเร็งในร่างกายได้ก่อนมีอาการปรากฏอย่างชัดเจน และก่อนที่มะเร็งขยายใหญ่หรือกระจายไปยังอวัยวะอื่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมีประสิทธิภาพในการรักษาได้มากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การตรวจคัดกรองมะเร็งนี้เป็นเพียงการตรวจหาเซลล์มะเร็งเท่านั้น ไม่ใช่การตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งโดยตรง แพทย์อาจแนะนำให้เข้ารับการตรวจคัดกรองมะเร็งแม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีความเสี่ยงหรือไม่ก็ตามและจะตรวจแม้ยังไม่มีอาการของโรคมะเร็งปรากฏ บทความนี้จะช่วยให้เกิดความเข้าใจที่มากขึ้นเกี่ยวกับความสำคัญและชนิดของการตรวจคัดกรองมะเร็งที่แตกต่างกันออกไป

การตรวจคัดกรองมะเร็งสำคัญอย่างไร

การตรวจคัดกรองมะเร็งเป็นการตรวจหาร่องรอยของโรคมะเร็งชนิดต่าง ๆ ในผู้ที่มีร่างกายแข็งแรงและไม่มีอาการของโรคมะเร็ง ทำให้ช่วยเพิ่มโอกาสในการตรวจพบมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้น และแพทย์สามารถรักษาอาการของโรคได้ง่ายขึ้น

แม้ว่าผลที่ได้จากการตรวจด้วยวิธีต่าง ๆ เหล่านี้จะไม่ยืนยันความแม่นยำได้ 100 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งได้ อีกทั้งประสิทธิภาพของการตรวจจะขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกหลาย ๆ อย่างรวมกัน

รูปแบบและวิธีการตรวจคัดกรองมะเร็งที่น่าสนใจ

การตรวจคัดกรองมะเร็งมีอยู่ด้วยกันหลากหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับตำแหน่งของอวัยวะที่ต้องการตรวจ ซึ่งรูปแบบการตรวจที่ได้รับความนิยมและมีส่วนช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งนั้นมีดังนี้

การส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy)

การตรวจรูปแบบนี้ใช้เพื่อตรวจหา ป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งลำไส้ เพราะช่วยให้แพทย์สามารถพบติ่งเนื้อที่ผิดปกติในลำไส้ โดยแพทย์จะใช้กล้องส่องชนิดพิเศษ (Colonoscope) มีลักษณะเป็นท่อที่สามารถยืดหยุ่นได้ มีไฟและกล้องติดอยู่บริเวณปลายท่อสอดเข้าทางทวารหนักไปยังลำไส้ตรงและลำไส้ใหญ่ หากพบติ่งเนื้อในลำไส้  แพทย์อาจตัดติ่งเนื้อดังกล่าวบางส่วนไปส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ เพื่อป้องกันการกลายเป็นมะเร็งในอนาคต โดยกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้ารับตรวจด้วยวิธีส่องกล้องสำไส้ใหญ่ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุระหว่าง 50–75 ปี

การตรวจภาพรังสีเต้านม (Mammography)

การตรวจรูปแบบนี้มีประโยชน์อย่างมากในการลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งเต้านม ซึ่งแพทย์จะให้ผู้เข้ารับการตรวจยืนหันหน้าเข้าหาเครื่องแมมโมแกรมและกดหน้าอกให้แนบกับเครื่องมือมากที่สุด ช่วยให้แพทย์เห็นภาพภายในเต้านม 2 ข้างในบริเวณทั้งหมดได้ และสามารถตรวจพบหากมีเนื้อเยื่อในบริเวณใดบริเวณหนึ่งมีลักษณะที่ผิดไปจากปกติ โดยกลุ่มเสี่ยงที่ควรตรวจภาพรังสีเต้านม คือ ผู้หญิงที่มีอายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไปและควรรับการตรวจปีละ 1 ครั้ง

การตรวจแปปสเมียร์ (Pap Smear)

การตรวจแปปสเมียร์เป็นวิธีการที่ใช้ตรวจหามะเร็งปากมดลูก โดยแพทย์จะให้ผู้รับการตรวจนอนราบและขึ้นขาหยั่ง ก่อนจะค่อย ๆ สอดเครื่องมือชนิดพิเศษเข้าไปทางช่องคลอดและถ่างปากช่องคลอดเพื่อให้แพทย์สามารถเห็นถึงปากมดลูกได้ และแพทย์จะเก็บเซลล์ตัวอย่างในบริเวณปากมดลูกและบริเวณต่าง ๆ ของมดลูกเพื่อนำไปตรวจหาความผิดปกติต่อไป

การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (Low-dose Helical Computerized Tomography)

วิธีการนี้จะใช้เพื่อตรวจหาโรคมะเร็งปอด ซึ่งแพทย์จะตรวจโดยให้ผู้รับการตรวจนอนราบและนอนให้นิ่งที่สุด ก่อนที่โต๊ะรองนอนจะค่อย ๆ เครื่องเข้าไปยังอุโมงค์เครื่องเอกซเรย์ขนาดใหญ่ และเมื่อเครื่องจะเริ่มสแกนภาพ ผู้เข้าตรวจจะต้องกลั้นหายใจเพื่อให้เครื่องสแกนภาพปอดได้อย่างชัดเจน

การตรวจผิวหนัง (Skin Exams)

แพทย์จะใช้วิธีนี้เพื่อตรวจค้นหาโรคมะเร็งผิวหนัง โดยจะใช้แว่นขยายตรวจในบริเวณไฝ ปาน หรือร่องรอยอื่น ๆ บนผิวที่มีสี ลักษณะพื้นผิว รูปร่างหรือขนาดแปลกไปจากผิวส่วนอื่น ๆ โดยใช้เวลาไม่นาน แต่ทั้งนี้ การตรวจผิวหนังเบื้องต้นสามารถทำได้ด้วยตนเองเช่นกัน โดยเป็นการยืนตรงหน้ากระจกและสำรวจผิวหนังในบริเวณต่าง ๆ ทั่วร่างกาย

นอกจากนี้ การตรวจคัดกรองมะเร็งยังสามารถทำได้ด้วยรูปแบบอื่น ๆ อีก ไม่ว่าจะเป็นการตรวจความผิดปกติในยีนเพื่อตรวจหายีน BRCA1 และ BRCA2 ที่พบได้มากในผู้หญิงที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ หรือการตรวจตัวบ่งชี้ทางชีวภาพ (Biomarker) เพื่อตรวจหาสารผิดปกติที่อาจพบได้ในเลือด ปัสสาวะหรือของเหลวอื่น ๆ ในร่างกายที่อาจเป็นสัญญาณของการเกิดโรคมะเร็ง อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์ถึงรูปแบบการตรวจที่เหมาะสมและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการตรวจแต่ละรูปแบบ

แม้ว่าการตรวจคัดกรองมะเร็งอาจช่วยให้ตรวจพบโรคมะเร็งได้ตั้งแต่ในระยะเริ่มต้นและช่วยลดอัตราการเสียชีวิตได้ แต่สิ่งสำคัญที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งได้แก่ การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแปรรูป ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน จำกัดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายเป็นประจำ เลิกสูบบุหรี่และพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายอย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้สุขภาพดีก็จะอยู่กับเราได้ไม่ยาก

หน้า: [1] 2 3 ... 35